Quantcast
Channel: Digital Advertising – Thumbsup
Viewing all 1958 articles
Browse latest View live

4 สิ่งควรรู้ เมื่อ Grab เปิดตัวธุรกิจโฆษณา

$
0
0

สัปดาห์ที่ผ่านมา Grab ประกาศเปิดตัวธุรกิจโฆษณาอย่างเป็นทางการในชื่อ GrabAds ต่อไปนี้คือ 4 สิ่งที่ นักการตลาดดิจิทัลทุกคนควรทราบเมื่อรายใหญ่ในธุรกิจขนส่งหันมาเพิ่มบริการด้านการตลาดอย่างเต็มที่

บริการใหม่

  • ใช้ข้อมูลจาก micro-entrepreneur network

GrabAds ไม่เพียงใช้ข้อมูลการเดินทางของลูกค้า Grab แต่ยังจะใช้ข้อมูลที่ลูกค้าใช้บริการร้านค้ารายย่อยหรือผู้ประกอบการขนาดเล็กผ่าน Grab ดังนั้น เราจึงสามารถสรุปได้ว่า GrabAds จะรวมข้อมูลจาก micro-entrepreneur network เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆสามารถเผยแพร่เนื้อหา ไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แบบถูกใจทุกคน

  • เน้นหารายได้ใหม่

การเปิดตัว GrabAds ถือเป็นการแตกไลน์ธุรกิจเพื่อค้นหาแหล่งรายได้ใหม่ ที่ผ่านมา Grab ขยายบริการจนครอบคลุมธุรกิจการขนส่งแทบทุกแขนง ซึ่งกรณีของ GrabAds ถือเป็นการต่อยอดที่จะเป็นอีกจิ๊กซอว์เพื่อสานต่ออาณาจักร Grab ในอาเซียน

  • แบรนด์ดังเอาด้วย

GrabAds ได้เปิดเผยรายชื่อลูกค้าในระยะแรกแบบไม่ธรรมดา ได้แก่ Pepsi, Dove, Bukalapak, Shopee และ Tokopedia คาดว่าจะมีแบรนด์อื่นร่วมทดลองระบบ GrabAds อย่างคึกคักมากขึ้น

  • โฆษณา 3 รูปแบบ

GrabAds ให้บริการโซลูชั่น 3 ประเภทในระยะแรก หนึ่งในนั้นคือป้ายโฆษณาเคลื่อนที่ (mobile billboards) ที่สามารถวางไว้ด้านนอกของรถยนต์และยานพาหนะอื่น ๆ

อีก 2 รูปแบบคือโฆษณาในแอป (in-app advertising) และโฆษณาในรถยนต์ (in-car options) จุดนี้แบรนด์จะสามารถแสดงโฆษณาบนหน้าจอดิจิตอล ผ่านร้านค้าปลีก และการแจกตัวอย่างให้ทดลองใช้

  • ยังมีธุรกิจอื่นนอกจากโฆษณา

แถมให้อีกข้อคือประเด็นเรื่อง Grab ยังพยายามเสาะหาหนทางทำเงินใหม่ที่นอกเหนือจากธุรกิจขนส่ง โดย Grab ได้เปิดตัวตู้จำหน่ายสินค้าในรถยนต์หรือ in-car vending machines โดยร่วมมือกับบริษัทสตาร์ทอัปสัญชาติสหรัฐชื่อ Cargo เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ที่มา: : TIA

 
Source: thumbsup

The post 4 สิ่งควรรู้ เมื่อ Grab เปิดตัวธุรกิจโฆษณา appeared first on thumbsup.


ตรวจแถวเครื่องมือใหม่ Facebook สร้างโฆษณาวิดีโอบนมือถือง่ายขึ้น

$
0
0

Facebook เปิดตัวเครื่องมือซอฟต์แวร์หลายชนิดเพื่อช่วยให้นักโฆษณาสามารถเปลี่ยนภาพนิ่งและข้อความ เป็นโฆษณาวิดีโอสำหรับชมบนมือถือได้ง่ายดายกว่าเดิม ถือเป็นอีกก้าวใหม่ของ Facebook ที่ต้องการสนับสนุนให้นักโฆษณาทุกลงหันมาลงโฆษณาเป็นวิดีโอ

ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปจ้างบริษัทสร้างวิดีโอมืออาชีพที่ไหน เพราะวันนี้ Facebook เปิดตัวซอฟต์แวร์หลายชนิดที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาโฆษณาวิดีโอได้แบบไม่ต้องมีความรู้ด้านการตัดต่อ และวิดีโอที่ได้จะเหมาะสำหรับชมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือ Mobile-optimized video ซึ่งสามารถจัดวางในรูปแบบฟีดข่าวได้ในสัดส่วน 1: 1

นอกจากสัดส่วน 1:1 วิดีโอที่ได้จากเครื่องมือของ Facebook อย่าง Video Creation Kit ยังมีสัดส่วน 9:16 สำหรับแสดงในส่วน stories ทั้งบน Facebook และ Instagram ขณะที่เครื่องมืออย่าง Video Cropping Tool จะเหมาะกับการตัดวิดีโอให้อยู่ในสัดส่วนที่ Facebook แนะนำ เช่น 1:1 สำหรับการแสดงผลทั่วไป, 4:5 สำหรับแสดงบนฟีดข้อมูล, 16:9 สำหรับวิดีโอโฆษณาที่ต้องการเล่นในวิดีโอหรือ in-stream และ 9:16 สำหรับแสดงในส่วน stories

ยังมีเครื่องมือชื่อ Animate Option ตัวเลือกเพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหวที่จะสร้างวิดีโอจากภาพนิ่งโดยอัตโนมัติ เท่ากับเพียงมีรูปภาพหรือสัญลักษณ์บริษัท ก็จะสามารถสร้างวิดีโอโฆษณาอัตโนมัติได้ตามใจต้องการ (ตัวอย่างภาพด้านล่าง)

จุดนี้ Facebook ระบุว่าเทมเพลตโฆษณาวิดีโอบนเครื่องมือเหล่านี้จะสามารถเลือกความยาวได้ตามวัตถุประสงค์ทางการตลาด เบื้อต้นจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือเพื่อการโปรโมตผลิตภัณฑ์ (6 วินาที), เพื่อขายสินค้าหลายรายการ (6 วินาที), เพื่อแสดงประโยชน์หรือคุณสมบัติของสินค้า (15 วินาที) และเพื่อกระตุ้นให้ชาวออนไลน์ค้นพบผลิตภัณฑ์ (15 วินาที)

ข้อมูลความยาวของวิดีโอเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่ต่างไปนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อนักการตลาดดิจิทัลทุกคน ดังนั้นใครสนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเพจ Facebook

ที่มา: : MarketingLand

 
Source: thumbsup

The post ตรวจแถวเครื่องมือใหม่ Facebook สร้างโฆษณาวิดีโอบนมือถือง่ายขึ้น appeared first on thumbsup.

ทำโฆษณาอย่างไรให้ได้ผลมากขึ้นจากงาน DAATDAY 2018

$
0
0

ในงาน DAATDAY 2018  ที่จัดโดย  Digital Advertising Association (Thailand) ซึ่งในครั้งนี้ก็จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว  ทาง thumbsup ได้เข้าไปฟังบรรยายในห้อง Creative Conference ในหัวข้อ “ทำอย่างไรให้การโฆษณาของเราได้ผลมากยิ่งขึ้น” จากเหล่า Speakers ที่มีประสบการณ์ในวงการธุรกิจ  เราลองมาดูกันว่าจะมีเคล็ดลับอะไรดีๆ บ้าง

Speaker

  • Rawit Hanutsaha Chief Executive Office, Srichand United Dispensary
  • Sompat Tri Sadikun Chief Creative Officer, Leo Burnett
  • Thipayachand HasdinChief Client Officer, BBDO
  • Jirayu ButhkhunthngMobile Game Marketing Senior Associate, Garena Online (Thailand)

สิ่งที่ต้องทำหากอยากให้โฆษณาได้ผล

1. ต้องมีความชัดเจนในการวัดผล

ทั้งในเรื่องของ OKR และ KPI อย่างในตลาดเกม ROV เองก็ค่อนข้างมีความ Dynamic ของการทำการตลาดสูง  เพราะไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาแล้ว User ใช้ได้เลย  ดังนั้นการคุยกันในทีมเรื่องของความชัดเจนจะสำคัญมากๆ ว่าอยากนำเสนออะไร  เพราะถ้าตัววัตถุประสงค์ชัดเจน  สิ่งต่างๆ ที่มาล้อกับตัวแคมเปญจะได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด

2. เข้าใจปัญหา

เพราะลูกค้ามาหาเราเนื่องจากมีปัญหาทางธุรกิจ หน้าที่ของเราก็คือแก้ปัญหาให้เขา  ซึ่งลูกค้ากลุ่มหนึ่งจะรู้เลยว่าปัญหาของตัวเองคืออะไร  และอีกหลายกลุ่มรู้ว่ามีปัญหา  แต่ไม่ทราบว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร  แล้วเราต้องหาปัญหาที่เขายังไม่ทราบว่าปัญหาคืออะไร

3. มองปลายทางของการวัด KPI

เวลากำหนด KPI นั้นต้องกำหนดร่วมกันกับลูกค้า  โดยมองว่าผลลัพธ์ของปลายทางนั้นมันคืออะไร  ซึ่งทำให้รู้ว่าสิ่งสำคัญจริงๆ นั้นมันคือยอดขายหรือเปล่า  ทำให้ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร แล้วต้องไปให้ถึง และลองมอง KPI นี้ด้วยว่าให้เงินเท่าไหร่

4. ตั้ง Metrics วัดผลสอดคล้องแคมเปญ

จริงๆ การวัดผลมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น  แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว  เพราะความโชคดีที่สมัยนี้วัดได้เร็ว  ส่วนในแง่ของ Metrics ที่วัดได้ง่ายมากขึ้น  ว่าเมื่อทำแคมเปญแล้วเอามาดูยอดได้ ว่ามีการซื้อ การวัด และมีลูกค้ามาแค่ไหน  ซึ่งถ้าเป็นเกมจะเป็นการวัดเรื่องของ Community ว่ามีการวัดคนเข้ามาเยอะแค่ไหน  ดังนั้นการตั้ง KPI อะไรต่างๆ  ตัว Metrics นั้นก็ต้องตอบโจทย์เป้าหมายตั้งต้นของการวัด KPI ในธุรกิจนั้นทั้งหมด

5. เข้าใจธุรกิจตัวเอง

ฝั่งเกม ROV มีการแบ่งชัดเจนกลุ่มของลูกค้า ซึ่งผู้เล่นแต่ละคนก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เพราะสินค้าเดียวกันก็จริงแต่ก็มี Objective ที่แตกต่างกัน  ทำให้ต้องแบ่งว่าคนกลุ่มนี้จะสื่อสารอย่างไร และเขาต้องการอะไรจากเรา เช่นในการทำ Marketing ของผลิตภัณฑ์เกม ที่กลุ่มผู้ไหญ่วัย 30 ปี และเด็กมหาวิทยาลัยก็มีไม่เหมือนกัน  เรียกได้ว่าจะมี Learning Curve ที่แตกต่างกัน

6. พร้อมปรับตัวตลอดเวลา

บางทีก็วัดผลของแคมเปญกันเป็นรายชั่วโมง  ว่าในหนึ่งชั่วโมงนั้นเราต้องการยอดเท่าไร  แล้วถ้าไม่ได้ผลตามนั้นก็มาดูกันว่าจะมีอะไรเป็นหมัดต่อไปที่ต้องทำ เพราะทุกๆ แคมเปญในโลกออนไลน์นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งการทำการตลาดออนไลน์ไม่ได้เหมือนออฟไลน์อีกต่อไปแล้ว เพราะต้องพร้อมในการ Revise ตัวเองให้ได้ตลอดเวลา  ซึ่งแต่ละแคมเปญมีเป้าหมายที่แตกต่างไป และต้องเข้าใจว่าแต่ละจุดนั้นสามารถตามวัดผลได้ด้วยอะไร

งานที่คิดว่ามีประสิทธิผลที่สุดของแบรนด์

Rawit Hanutsaha:

เป็นเคสของ Sasi (แบรนด์เครื่องสำอางค์ที่เจาะกลุ่มเด็กๆ วัยรุ่นช่วงอายุ 13-20 ปี)  ในช่วงของการหาข้อมูลกลุ่มเป้าหมายช่วงสร้างเเบรนด์  นั้นใช้การพูดคุยกับเด็กนักเรียน แต่ก็มีข้อสงสัย เพราะเด็กๆ ในวัย 13-20 ปี นั้นไม่สามารถแต่งหน้าไปโรงเรียนได้  เมื่อเข้าไปพูดคุยพบ insight ว่าเด็กกลุ่มนี้ถ่ายรูปเยอะมาก จนมีคำว่า “รู้จักคำว่ารูปที่ดีไหม” นั่นคือรูปที่เจ้าของกล้องดูดี แต่เพื่อนรอบๆ ข้างอาจจะไม่ได้อยู่ในโมเมนต์ที่พร้อมเท่า  และหากถูกถ่ายรูปเก็บไว้จนเวลาผ่านไปนานๆ เมื่อมีคนมาค้นรูปเก่าๆ ที่หน้าตาดูไม่ดี ก็อาจจะเสียโอกาสในอนาคตไปได้

เด็กๆ เหล่านี้จึงเชื่อกันว่าการแต่งหน้าไปโรงเรียนเป็นเหมือน “long term investment” พวกเขาจึงพร้อมจะหาเทคนิคต่างๆ มาแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติ  ซึ่งหากแต่งแล้วคุณครูจับไม่ได้ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก ดังนั้นแบรนด์จึงได้ออกสินค้าเพื่อตอบโจทย์มาจากข้อนี้ นับว่าเป็น insight ที่น่าสนใจที่แบรนด์ค้นพบ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง

Jirayu:

เกม Rov ได้โจทย์มาว่าอยากให้แมส เมื่อได้โจทย์มาก็เลยแบ่งเป็นกลุ่มผู้เล่น Hardcore ที่มีทักษะการเล่นดีอยู่แล้ว กับกลุ่ม Casual ที่ต้องแนะนำเยอะๆ ก่อน โดยต้องทำอย่างไรให้ 2 กลุ่มนี้  สามารถมารวมกันได้  เราพบว่า 2 กลุ่มมี experience ร่วมกัน นั่นคือเรื่อง “แฟนติดเกม” เปรียบเทียบผู้หญิงเป็นกลุ่ม Casual ส่วนผู้ชายคือกลุ่ม Hardcore จากนั้นเอาตรงนี้ไปทำคลิปโดยใช้ influencer ที่เหมาะสมกับผลิภัณฑ์ในช่วงนั้นนั่นคึอ “สอดอStyle” ซึ่งจากเดิมเกม ROV มีผู้ติดตามในเเฟนเพจอบู่ประมาณแสนคน  ส่วนตัว influencer ก็มีคนติดตามประมาณหนึ่งแสนคนด้วย  และการปล่อยคลิปนี้ออกไปก็ทำให้คนทั้งสองกลุ่มพูดพร้อมๆ กัน  จนเกิดเป็นกระเเสที่ดีมาก

Sompat:
เป็นงานที่ไม่สามารถเอ่ยชื่อ ซึ่งลูกค้าเข้ามาบอกเราว่ายอดค่อยๆ นิ่งไปและลดลงแล้ว  จึงอยากได้แคมเปญโฆษณาดีๆ สักตัวที่จะมาช่วยดัน Brand Image  เมื่อลองมาดูจริงๆ ก็พบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากโฆษณา แต่เป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่เริ่มจะตกกระแสไปแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำไปในแนวทางของการเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมเปลี่ยนแพลตฟอร์มเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้ยอดขายเริ่มมามากขึ้นเรื่อยๆ  เรียกได้ว่าเป็นการเข้าไปดูที่ตัวผลิตภัณฑ์

Thipayachand:
ทาง BBDO ทำงานร่วมกับ VISA  มานานหลายปี  ซึ่ง VISA มีลูกค้าหลักก็คือกลุ่มของ B2B  นั่นก็คือกลุ่มของแบงค์ และคนปกติทั่วไปที่มีส่วนในการตัดสินใจเลือกใช้  และตอนนี้ก้ต้องการรุกข้าตลาดของกลุ่มมิลเลนเนียม  ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชอบท่องเที่ยว ทำให้เราตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มมิลเลนเนียม  จากการศึกษาพฤติกรรมก็พบว่าเป็นกลุ่มที่รักการเดินทาง จึงนำเอา insight สากลนี้มาใช้  โดยสิ่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญคือ “ประสบการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย” และเมื่อย้อนกลับมาผลิตภัณฑ์ เราทำการสื่อสารออนไลน์  และพบว่าผู้บริโภคไม่ได้เกลียดโฆษณา แต่เกลียดโฆษณาห่วยแตก เพราะเชื่อว่าถ้างานดี หรือคอนเทนต์ดีจริงก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเวลาว่าจะเป็น 3 นาที หรือ 30 นาที จนเกิดมาเป็นงาน TokyoUnexpected

เรียกได่ว่าการทำโฆษณาที่ดีและได้ผลนั้น  ต้องอาศัยหลายๆ สิ่งประกอบกัน  เเละเลือกในสิ่งที่เข้ากับธุรกิจของเรามากที่สุด

 
Source: thumbsup

The post ทำโฆษณาอย่างไรให้ได้ผลมากขึ้นจากงาน DAATDAY 2018 appeared first on thumbsup.

Infographic: วิธีทำแคมเปญบน Instagram Stories

$
0
0

ใครที่อยากทราบว่าวันนี้ธุรกิจใช้ประโยชน์จากบริการ Instagram Stories อย่างไร Infographic นี้มีคำตอบให้ชนิดจัดเต็ม 30 กรณีศึกษา

30 กรณีศึกษานี้เป็นเพียงส่วนเดียวของการใช้ประโยชน์ Instagram Stories ทางธุรกิจที่มีหลากหลายมาก ผลจากอิทธิพลร้อนแรงของ Instagram Stories ที่นักการตลาดและนักสื่อสารรู้กันดีว่าเป็นบริการที่ได้รับนิยมอย่างมากในนาทีนี้

คนใช้ IG ทุกวัน

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ผู้ใช้ประมาณ 300 ล้านคนใช้งาน Instagram Stories ทุกวัน เวลาใช้งานโดยเฉลี่ย 28 นาทีต่อวัน สถิตินี้แสดงว่ามีโอกาสสำคัญรอให้เหล่าแบรนด์ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายรายใหม่บน Instagram Stories ได้อีก แต่ปัญหาคือชาว Instagram อาจไม่ใช่สนใจในแบรนด์ เพราะแบรนด์ไม่ได้เป็นเพื่อนซึ่งผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อยากรู้เรื่องราวความเป็นไป ดังนั้นแบรนด์จึงควรเข้าถึงชาวโซเชียลด้วยวิธีการที่เหมาะสม กับประเภทของเรื่องราวที่แบรนด์ต้องการบอกต่อ

เพื่อรวบรวมกลยุทธ์การบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นมืออาชีพ Infographic นี้ลงมือประมวลข้อมูลมาจากบริษัทกว่า 99 แห่งซึ่งทำแคมเปญธุรกิจบน Instagram Stories ข้อมูลที่น่าสนใจพบว่าแคมเปญประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ (59 เปอร์เซ็นต์) เชื่อมโยงผู้ชมไปยังหน้าช้อปปิ้ง ขณะที่โพสต์ซึ่งติดข้อมูลตำแหน่งสถานที่หรือ geotagged จะมี engagement หรือการมีส่วนร่วมมากขึ้น 79 เปอร์เซ็นต์

ที่สำคัญ แคมเปญ Instagram Stories ควรใช้รูปภาพแนวตั้ง เพราะผู้ใช้โทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ถือโทรศัพท์ไว้ในแนวตั้ง ดังนั้นก็ควรจัดทำ Instagram Stories ตามพฤติกรรมผู้ใช้

Infographic นี้ยังบอกเล่ากรณีศึกษาของบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น Mercedes Benz, Cover Girl และ Lego ที่ทำแคมเปญบน Instagram Stories ในการเข้าถึงลูกค้าผ่านเครื่องมือโฆษณาที่หลากหลาย สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก Infographic ด้านล่างนี้

ที่มา: : PRDaily

 
Source: thumbsup

The post Infographic: วิธีทำแคมเปญบน Instagram Stories appeared first on thumbsup.

Infographic: ครบรส 64 สถิติ Content Marketing ปี 2018

$
0
0

ถือว่าครบรสสำหรับ 64 สถิติล่าสุดในแวดวง Content Marketing ประจำปีนี้ที่ถูกรวบรวมใน Infographic ของบริษัท iScribblers ซึ่งหนึ่งใน 64 สถิตินี้ย้ำชัดว่าบริษัทที่มีกลยุทธ์การตลาดด้วยเนื้อหาหรือ Content Marketing จะมีอัตรา Conversion Rate ที่สูงกว่าบริษัทที่ไม่มีถึง 6 เท่าตัว

ทำคอนเทนต์ให้ถูกจริต

Conversion Rate นั้น หมายถึงอัตราส่วนของการเข้าชมเนื้อหาในเว็บไซต์ที่จะกลายเป็นโอกาสในการขาย, การลงชื่อสมัคร, การกรอกแบบสอบถาม หรือการติดต่อเจ้าหน้าที่ นอกจากข้อมูลเรื่อง Conversion Rate ของบริษัทที่ทำและไม่ทำ content marketing ข้อมูลใน Infographic นี้ยังมุ่งเน้นไปที่การตลาด B2B ซึ่งสามารถเป็นแนวทางสำหรับนักการตลาดในทุกอุตสาหกรรม

Infographic นี้เป็นการรวบรวมจากบริษัท iScribblers ซึ่งพบว่าความใส่ใจในการสร้างเนื้อหาหรือ content จะเป็นประโยชน์ต่อทีมขายของบริษัท ซึ่งไม่เพียงจะช่วยสร้างโอกาสในการขายที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างจุดยืนทางการตลาดที่แข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ได้ด้วย จุดนี้ยืนยันได้จากข้อมูลใน Infographic ที่ระบุว่าบริษัทกว่า 74% ยอมรับว่าการตลาดด้วย content ช่วยเพิ่มทั้งคุณภาพและปริมาณของการขายอย่างแท้จริง

สำหรับ content สุดฮิต 3 แบบที่ Infographic ระบุว่าหลายบริษัทนิยมวางกลยุทธ์ไว้คือการเขียนบล็อก (Blogging) จะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยในการสร้างโอกาสการขาย ขณะที่สื่อสังคมออนไลน์ (Social media) จะใช้เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้บริโภค ด้านการเผยแพร่กรณีศึกษา (Case studies) จะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยนำเสนอเรื่องราวแก่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้

อีกประเด็นน่าสนใจที่ใน Infographic ไม่ได้อธิบายไว้คือการใช้ Blogging เพื่อทำ Lead Generation ประเด็นนี้หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า “Lead” ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าผู้นำ แต่หมายถึง “ว่าที่ลูกค้า” ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นคนที่รู้จักแบรนด์มาบ้างแล้ว เมื่อไม่ใช่กลุ่มคนที่ไม่รู้จักแบรนด์เลย จึงมักจะแสดงออกถึงพฤติกรรมที่สนใจในแบรนด์ ดังนั้น Lead Generation จึงหมายถึงวิธีการสร้าง Lead ให้แบรนด์ นี่เองที่ทำให้ Blogging เป็นเบอร์หนึ่งด้านการทำ Lead Generation ของจริง

ที่มา: PRDaily

 
Source: thumbsup

The post Infographic: ครบรส 64 สถิติ Content Marketing ปี 2018 appeared first on thumbsup.

มาเต็ม LINE ส่งเครื่องมือเอาใจนักการตลาดเพียบ

$
0
0

ต้องยอมรับว่าบริการเพื่อส่งเสริมการตลาดของ LINE มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการสำรวจมูลค่าเม็ดเงินลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลได้ประกาศว่า LINE เป็นแพลตฟอร์มที่มีเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลเติบโตสูงที่สุดในประเทศไทย และเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 83% ซึ่งนอกจาก LINE TV และ LINE TODAY แล้ว ก็ยังมีเครื่องมือที่น่าสนใจให้ติดตามค่ะ

คุณนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและสื่อโฆษณา LINE ประเทศไทย กล่าวว่าในปี 2561 LINE เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เติบโตสูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งทุกบริการของ LINE ล้วนได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ในฐานะแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ทั่วไทย 

ปัจจุบันมีผู้ใช้ LINE มากถึง 95% ของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนทั้งหมด 45 ล้านคน  ทำให้ LINE กลายเป็นกิจวัตรประจำวันเมื่อตื่นเช้ามาทุกคนมักจะเปิดดูไลน์ก่อนเป็นอันดับแรก มีความรู้สึกใกล้ชิดและเข้าถึงตัวผู้ใช้จริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคสูงวัยได้มากกว่าแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งสอดรับกับการที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งปี 2561 นี้เป็นปีแรกที่มีผู้สูงอายุมากกว่าวัยเด็ก” (ข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ)

สำหรับบริการของ LINE ที่เปิดให้บริการในงานนี้  ได้แก่ LINE Customer Connect, LINE  Notification Service,  LINE Data Official Account, LINE Coupon Sticker และ LINE Idol เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักการตลาด

LINE Customer Connect 

เนื่องจากคนไทยมี Pain point เกี่ยวกับคอล เซ็นเตอร์มานาน ซึ่งคนไทยเสียเวลาไปกับการรอคอลเซ็นเตอร์  กว่า 750 ล้านชั่วโมงต่อปี ทำให้ LINE คิดค้นบริการใหม่ที่ยกบริการคอล เซ็นเตอร์  มาอยู่บนออฟฟิเชียลแอคเคาท์ของแบรนด์เลย เพื่อช่วยแก้ Pain point ดังกล่าวให้หมดไป อาทิเช่น บริการตอบกลับอัตโนมัติโดย Chatbot AI ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงบริการตอบกลับโดยเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจริงๆ แม้ในขณะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็สามารถบริการลูกค้าได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด แถมยังโทรฟรีผ่าน LINE แบบไม่ต้องกังวลค่าโทร เพียงเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตก็โทรได้ฟรี ลดระยะเวลาการติดต่อของผู้บริโภคและเพิ่มความพึงพอใจในคอลเซ็นเตอร์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

LINE  Notification Service (LNS)

สำหรับ SMS เป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นชิ้นมานาน แต่ก็ยังมีจุดอ่อนและอุปสรรคบางประการอยู่ จึงได้พัฒนาโซลูชั่น LNS ขึ้นมา เพื่อเติมเต็มการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นแบบ Closed Loop SMS โดยไม่เป็นการรบกวนผู้บริโภค ยกตัวอย่างการส่งข้อความแจ้งสถานะบริการที่ผู้บริโภคเป็นคนเลือกใช้บริการ โดยมีการส่งข้อความผ่าน LINE ออฟฟิเชียลแอคเคาท์โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตามออฟฟิเชียลแอคเคาท์นั่นๆ มาก่อน นอกตากนี้ นักการตลาดหรือแบรนด์ที่ให้บริการ LNS ยังสามารถติดตามผลได้ว่าเมื่อส่งข้อความไปแล้ว ปลายทางได้รับข้อความนั้นหรือไม่

LINE DATA Official Account (DATA OA)

เกิดจากการที่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มี Development Center โดยการนำข้อมูลและความคิดเห็นต่าง จากผู้บริโภค นักการตลาดชาวไทยมาพัฒนาให้เอื้อประโยชน์โดยแบรนด์สามารถทำ Data Marketing ได้ดีมากขึ้น โดย DATA OA เป็น CRM ที่ต่อตรงเข้ากับหลังบ้านของแบรนด์ลูกค้า ทราบว่าใครเป็นใคร มีไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบแบบไหน สามารถให้บริการแบบ Personalized ได้ โดยสามารถส่งบริการที่ตรงถึงตัวลูกค้าที่มีความต้องการได้เลย ไม่ใช่ส่งโปรโมชั่นแบบหว่านจนกลายเป็นการรบกวน ปัจจุบันออฟฟิเชี่ยลแอคเคาท์มีอัตราการโดนผู้ใช้งานบล็อก (Block rate) ลดลงถึง 30%เมื่อเทียบกับปี 2559 โดยเฉพาะถ้าแบรนด์นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภค จะมีอัตราดังกล่าวต่ำมาก เพียง 5-10% เท่านั้น

LINE Coupon Sticker

LINE เข้าใจดีว่าไม่ใช่แค่การสร้างการรับรู้แบรนด์เท่านั้นที่นักการตลาดดิจิทัลต้องการ แต่การเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ก็เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ทำให้เกิดบริการ LINE Coupon (ไลน์คูปอง) มาใช้ เพื่อช่วยให้แบรนด์ที่ไม่มี LINE ออฟฟิเชียลแอคเคาท์ สามารถขายของได้ โดย LINE Coupon (ไลน์คูปอง) เหมาะกับลูกค้ารีเทลเป็นอย่างมาก ในการออกโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อเพิ่มยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดย LINE ได้ออกแบบมาในรูปแบบของสติกเกอร์ เพราะคนไทยชื่นชอบสติกเกอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยมีการใช้เติบโต 23% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสติกเกอร์จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้งานและส่งต่อ ทำให้โปรโมชั่นแพร่หลายมากขึ้น ขณะเดียวกันทางแบรนด์ก็สามารถเปลี่ยนโปรโมชั่นระหว่างแคมเปญได้ ทำให้รับมือกับสถานการณ์การแข่งขันได้เป็นอย่างดี ไม่เสียเวลา และลดต้นทุนกว่าการทำโปรโมชั่นผ่านช่องทางอื่น

LINE MAN TAXI MEDIA

หลังจากเปิดให้บริการ LINE MAN TAXI มาเพียง 6 เดือน ปัจจุบัน LINE MAN TAXI มียอดการใช้บริการทะลุ 1 ล้านครั้งไปเป็นที่เรียบร้อย จึงพร้อมที่จะให้บริการสื่อโฆษณาบนรถแท็กซี่ ด้วยการหุ้มรถแท็กซี่ด้วยโฆษณาของแบรนด์ ทำให้แคมเปญต่างๆ ของลูกค้า สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในย่านกรุงเทพฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ

LINE IDOL

ร่วมมือกับเอเจนซี่ต่างๆ มาช่วยด้านบริหารจัดการศิลปิน บล็อกเกอร์, พับลิชเชอร์ และเซเลบริตี  ภายใต้สังกัดของไลน์ ไอดอล ที่คัดสรรมาอย่างดี เบื้องต้นได้แก่พับลิชเชอร์ที่มียอดผู้ติดตามรวมกันมากกว่า 9 ล้านราย เช่น  The Cloud,The Matter,Beartai และขายหัวเราะ รวมถึงเซเลบริตี้ที่มียอดผู้ติดตามรวมกันมากกว่า 3 ล้านราย เช่น  คัตโตะ, ตู่ ภพธร, ว่าน ธนกฤต ภายใต้เอเจนซี่กู๊ดเดย์ ที่มาร่วมในงาน DAAT ซึ่งทุกโพสท์สามารถเข้าถึงฟอลโลเวอร์ของแต่ละคนได้ 100%และถ้าหากอยากจะบูทส์ในกลุ่มนอนฟอลโลเวอร์ ก็สามารถทำได้ผ่าน LINE AD Platform 

การทำโฆษณาบนแพลตฟอร์ม LINE มีให้เลือกหลากหลายบริการและเข้าถึงประชากรทุกกลุ่ม ทั่วประเทศ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและไม่อาจมองข้ามได้เลย 

 
Source: thumbsup

The post มาเต็ม LINE ส่งเครื่องมือเอาใจนักการตลาดเพียบ appeared first on thumbsup.

Infographic: Micro-Influencer นั้นสำคัญไฉน?

$
0
0

ทำไม Micro-Influencer หรือผู้มีอิทธิพลรายย่อยจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลสำหรับนักการตลาด? Infographic นี้จะตอบคำถามได้ชนิดที่ทำให้เราเข้าใจถึงแนวคิด “น้อยคือมาก” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในกระบวนการ influencer marketing

อาจจะฟังดูยอดเยี่ยมสำหรับแบรนด์ใดที่ได้ตัว influencer ผู้มีอิทธิพลซึ่งพรั่งพร้อมด้วยผู้ติดตามนับล้าน เข้ามาร่วมแสดงหรือพูดถึงสินค้าบริการของแบรนด์ แต่ปัญหาคือกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์นั้นจะได้ชมจริงหรือไม่? ตรงกันข้ามกับ Micro-Influencer ผู้มีอิทธิพลน้อยกว่าที่มีจำนวนผู้ติดตามน้อยแต่เหนียวแน่น กลับเรียก Engagement หรือการมีส่วนร่วมที่มากกว่า แถมยังทำให้แคมเปญฮาร์ดเซลล์กลายเป็นแคมเปญที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้ชมเฉพาะกลุ่มของ Micro-Influencer เหล่านี้

การทำงานร่วมกับ Micro-Influencer จึงช่วยให้หลายแบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักได้ต่อเนื่องในช่วงหลายปีมานี้ ซึ่ง Infographic นี้จากบริษัท SocialPubli ก็จะเป็นอีกเสียงที่ย้ำว่าแบรนด์ควรจะลงทุนใน Micro-Influencer เพราะผลลัพท์ที่ได้นั้นคุ้มค่าจริง

หนึ่งในข้อมูลที่สำคัญคือ อัตราการมีส่วนร่วมหรือ engagement บน Instagram และ Twitter นั้นลดลงตามจำนวนผู้ติดตามของ influencer ที่เพิ่มขึ้น เรียกว่า Influencer รายใดมีผู้ติดตามมาก Engagement ก็จะลดลงมากตามไปด้วย

นอกจากนี้ 87% ของผู้บริโภคทั่วโลกยังมองว่าแบรนด์ควร “ดำเนินการทุกอย่างอย่างถูกต้องตลอดเวลา” เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกเช่นนี้ Micro-Influencer ถูกมองว่าสามารถทำได้ดีกว่าเพราะ Micro-Influencer สามารถสร้างเนื้อหาสมจริงจับต้องได้มากกว่า ซึ่งผู้ชมเฉพาะกลุ่มของ Micro-Influencer ให้ความไว้วางใจจริงๆ

สำหรับราคา เชื่อมั่นว่าแบรนด์สามารถร่วมมือกับ Micro-Influencer บนต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สบายกระเป๋ากว่าการทำงานร่วมกับ “ผู้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน โดยมีการเปรียบเทียบว่าเงินทุนที่เทให้ Influencer รายใหญ่รายเดียว อาจจะเพียงพอกับการร่วมงานกับ Micro-Influencer มากกว่า 40 รายก็ได้

ที่มา: : PRDaily

 
Source: thumbsup

The post Infographic: Micro-Influencer นั้นสำคัญไฉน? appeared first on thumbsup.

ตามไปดู 6 วิดีโอใหม่จาก iPhone XR, XS และ XS Max รวมถึง Apple Watch Series 4

$
0
0

เพียงแค่วันเดียว Apple ก็จัดวิดีโอ 6 ชุด  เพื่อเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับอีเวนท์เปิดตัวสินค้าเรือธงรุ่นใหม่อย่าง iPhone XR, XS และ XS Max รวมไปถึง Apple Watch Series 4 โดยทั้ง 6 วิดีโอ  สามารถเรียกผู้ชมได้หลายแสนครั้ง แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเรียกแขกได้มากกว่า 8 ล้านครั้งในเวลาไม่ถึง 14 ชั่วโมง

ตามคาดความคาดหมาย Apple กลายเป็นข่าวพาดหัวตัวใหญ่ของสำนักพิมพ์ทั่วโลกออนไลน์ด้วยการเปิดตัวทั้ง iPhone XR, XS และ XS Max (อ่านว่าไอโฟนเท็นอาร์ เท็นเอส และเท็นเอสแม็กซ์) ครั้งนี้ Apple โชว์ภาพยนตร์ที่เล่นก่อนเริ่มงานบน YouTube ด้วย เรียกยอดชมได้ 3.7 แสนครั้งใน 16 ชั่วโมงแรก

ไม่นาน Apple เปิดตัวโฆษณา Apple Watch Series 4 — Hokey Pokey สะท้อนการใช้งานของนาฬิกาในกลุ่มคนหลากหลาย โฆษณานี้ถูกเปิดชมน้อยกว่าวิดีโอแนะนำการใช้งาน Introducing Apple Watch Series 4 จำนวน 2 ชุดที่ถูกเปิดชมมากกว่า 5 แสนถึง 7 แสนครั้งในช่วง 16 ชั่วโมงแรก

ทั้งหมดนี้แพ้วิดีโอ Introducing iPhone XS, iPhone XS Max, and iPhone XR ยอดชมทะลุ 4,204,687 ครั้งในช่วง 16 ชั่วโมงแรก แสดงว่าคนสนใจไอโฟนใหม่มากที่สุด

สำหรับวิดีโอแชมป์คือ วิดีโอชื่อ Apple’s big news in 108 seconds ยอดชมทะลุ 8 ล้านครั้งในเวลา 16 ชั่วโมง ถือเป็นรูปแบบวิดีโอสรุปใจความงานอีเวนท์ที่แบรนด์ควรศึกษาให้ดี

แต่น่าเสียดายที่ความคิดเห็นถูกปิดใช้งานสำหรับวิดีโอเหล่านี้ ทำให้เราไม่รู้ความเห็นของผู้ชมที่ชัดเจน มีเพียงการกด “ฉันไม่ชอบวิดีโอนี้” ซึ่งมีผู้ชมจำนวนหลักหมื่นที่คลิกไม่ชื่นชอบโดยไม่รู้เหตุผล  ถึงอย่างไรก็ตามเรายังมองว่าสินค้าของ Apple ก็ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามอยู่ดี

 

 
Source: thumbsup

The post ตามไปดู 6 วิดีโอใหม่จาก iPhone XR, XS และ XS Max รวมถึง Apple Watch Series 4 appeared first on thumbsup.


Google เพิ่มวิดีโอให้ Showcase Shopping เตรียมพร้อมรับเทศกาลช็อปปลายปี

$
0
0

Google 

Showcase Shopping ads เป็นโฆษณาบน Google ที่เจ้าของเว็บไซต์สามารถแสดงภาพให้ผู้ชมคลิกซื้อสินค้าได้ทันทีจากโฆษณา ล่าสุด Google เพิ่มการนำเสนอรูปแบบใหม่นั่นคือวิดีโอ ทำให้วันนี้โฆษณา Shopping Showcase สามารถเข้าถึงผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้ดีขึ้น ถือเป็นการเตรียมพร้อมในช่วงก่อนที่เทศกาลวันหยุดปลายปีที่กำลังจะมาถึง

Shopping Showcase เป็นรูปแบบโฆษณาพร้อมช็อปที่ Google เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว จากที่มีเพียงภาพนิ่งเท่านั้น วันนี้ Google จัดวิดีโอเป็นส่วนขยายให้โฆษณา Shopping Showcase โดยแทนที่นักการตลาดจะสามารถอัปโหลดภาพผลิตภัณฑ์จำนวนมากไปยังโฆษณาเดียว แต่นับจากนี้ทุกคนจะสามารถเพิ่มวิดีโอ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อให้กลมกลืนกับโฆษณาและเข้ากับประสบการณ์การใช้งานมากกว่าวิดีโอทั่วไป

การให้ความสำคัญกับวิดีโอของ Google ถือเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจ เพราะการสำรวจพบว่าผู้บริโภคเกือบ 2 ใน 3 กล่าวว่าวิดีโอออนไลน์ให้แรงบันดาลใจและความคิดสำหรับการซื้อสินค้าในอนาคต ขณะที่ 90% ระบุว่าพบผลิตภัณฑ์และรู้จักแบรนด์ใหม่จาก YouTube

สำหรับภาพ Shoppable images เป็นภาพที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถแสดงโฆษณาเกี่ยวกับเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์พันธมิตร เครื่องมือนี้ช่วยให้ publisher ผู้เผยแพร่โฆษณาสามารถมอบโอกาสให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้ง่าย ตัวอย่างเช่น ผู้ซื้ออาจคลิกเข้าชมบล็อกโปรดของตัวเอง และเลือกชมรายการข้อเสนอพิเศษที่คล้ายกันเมื่อคลิกไอคอนป้าย tag บนรูปภาพ จุดนี้ Google กล่าวว่าจะเปิดตัวฟีเจอร์นี้แก่ publisher ผู้เผยแพร่โฆษณาวงกว้างมากขึ้น และกำลังทดสอบฟีเจอร์นี้ใน Google Image Search ต่อไป

การปรับตัวครั้งนี้เชื่อว่า Google เตรียมมาเพื่อตอบโจทย์นักช็อปช่วงปลายปี โดยการสำรวจของ Google ย้ำว่ามากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ซื้อสินค้าช่วงเทศกาลหยุดยาว จะค้นหาภาพสินค้าก่อนที่จะเดินทางไปที่ร้านเพื่อซื้อสินค้า

ที่มา: : MarketingDive

 
Source: thumbsup

The post Google เพิ่มวิดีโอให้ Showcase Shopping เตรียมพร้อมรับเทศกาลช็อปปลายปี appeared first on thumbsup.

Facebook ปรับระบบซื้อโฆษณาให้โปร่งใสมากขึ้น

$
0
0

ก่อนหน้านี้นักการตลาดจำนวนไม่น้อยรู้สึกสงสัยในการวัดผลของแพลตฟอร์มออนไลน์ หลายคนมีความรู้สึกว่าการจ่ายเงินซื้อโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นเป็นการลงทุนที่วัดผลบนระบบที่ไม่โปร่งใส เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Facebook ลงมือปรับระบบให้การติดตามรายงานทำได้ง่ายและมีการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่โปร่งใสมากขึ้นกว่าเดิม

Facebook ประกาศในโพสต์บล็อกว่ากำลังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ซึ่งจะคลุมทั้งบริการโฆษณาแบบวิดีโอ in-stream video, บทความ Instant Articles และเครือข่าย audience network จุดนี้ Facebook ระบุว่าจะเปิดเผยรายชื่อผู้จัดพิมพ์หรือ publisher lists และรายงานการแสดงโฆษณาหรือ publisher delivery reports ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้เห็นว่ามีใครที่ลงโฆษณากับ Facebook บ้าง

เพิ่มความมั่นใจให้นักการตลาด

การเปิดเผยรายชื่อผู้เผยแพร่โฆษณาทั้งหมดที่สร้างรายได้เข้าเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของตัวเอง จะช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถดูว่าโฆษณาของแต่ละคนจะถูกส่งไปที่ใดก่อนที่จะเริ่มแคมเปญ ผู้ลงโฆษณายังสามารถดูรายชื่อเว็บไซต์ publisher ผู้เผยแพร่โฆษณาที่โฆษณาของตนปรากฏ ด้วยการดาวน์โหลดรายงานการจัดส่งของผู้เผยแพร่โฆษณา (publisher delivery reports)

นอกจากนี้ Facebook ยังประกาศ (ในโพสต์ที่แยกกัน) ว่ากำลังเปลี่ยนชื่อรูปแบบโฆษณา Canvas มาเป็น “Instant Experience” ซึ่งจะมีการเพิ่มความสามารถใหม่หลายจุด หนึ่งในนั้นคือเทมเพลตใหม่ Instant Forms ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนสามารถแบ่งปันข้อมูลการติดต่อกับธุรกิจได้ง่ายขึ้น

จำนวนแคมเปญที่รันบน Instant Experience พบว่าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าเมื่อเทียบกับไซต์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่มาตรฐานทั่วไป

สำหรับบริการ Facebook Pixel ระบบ Tracking ของ Facebook ที่ใช้ติดตั้งบนเว็บไซต์ของแบรนด์เพื่อติดตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้เยี่ยมชม เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปกำหนดกลุ่มเป้าหมายการโฆษณาในแบบที่ละเอียดมากขึ้นนั้น Facebook ยังยืนยันว่าจะช่วยให้ผู้ลงโฆษณารวม Facebook Pixel เข้ากับระบบอื่นหรือ third-party pixel เพื่อใช้กับแคมเปญ Instant Experience ได้ด้วย

ผลคือ Pixel จะถูกเพิ่มลงไปใน Instant Experience แบบอัตโนมัติทันทีเพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้ชมมีส่วนร่วมกับลูกค้าที่ร่วมแคมเปญอีกครั้ง จุดนี้นักโฆษณายังสามารถฝังพิกเซลของบุคคลที่สามหรือ third-party pixel เพื่อติดตามการมีส่วนร่วม และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแคมเปญได้ดีขึ้นด้วย

ที่มา: : MarketingDive

 
Source: thumbsup

The post Facebook ปรับระบบซื้อโฆษณาให้โปร่งใสมากขึ้น appeared first on thumbsup.

Ted Baker โชว์คอลเลกชันใหม่ด้วย chatbot พลัง AI

$
0
0

แบรนด์แฟชั่นอย่าง Ted Baker จัดทัพโชว์ผลงานแฟชั่นฤดูใบไม้ร่วงประจำปีนี้ด้วย chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI อย่างน่าทึ่ง เพราะสามารถปฏิวัติภาพโชว์ที่เน้นเฉพาะความสวยงาม ให้มีมิติเรื่องการตอบข้อซักถามที่ทำได้แบบเรียลไทม์

แบรนด์ดังที่หลายคนชื่นชอบอย่าง Ted Baker ร่วมมือกับเอเจนซี่ดิจิตอลชื่อ Puzzle สร้างสรรค์ chatbot หรือโปรแกรมตอบอัตโนมัติบนบริการ Facebook Messenger เพื่อทำหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับแฟชั่นใหม่ฤดูใบไม้ร่วงที่ Ted Baker จะเริ่มทำตลาดช่วงก่อนปลายปีนี้ โดยผู้ใช้จะสามารถเรียกดูภาพคอลเล็กชันเสื้อผ้าทั้งหมดเพื่อเป็นแรงบันดาลใจสำหรับซื้อสินค้าภายในแอป Messenger ด้วย

ผู้ช่วยอัจฉริยะ

Ted Baker ตั้งชื่อผู้ช่วยของบริษัทว่า “Seemore” ผู้ช่วยอัจฉริยะนี้จะสามารถตอบคำถามมาตรฐานทั่วไป และช่วยให้ลูกค้าติดตามใบสั่งซื้อ ซึ่งจะถูกผูกพ่วงเข้ากับระบบข้อมูลบริการลูกค้าแบบไร้รอยต่อ

ตัวระบบ Seemore นี้เองที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อให้สามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง และเป็นคำตอบที่เข้ากับลูกค้าแต่ละคนมากขึ้น

เบื้องต้น Ted Baker จำกัดให้ระบบผู้ช่วยนี้ รองรับชุมชนผู้ใช้ Facebook ในอังกฤษเท่านั้น จุดนี้ Craig Smith ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ดิจิทัลของ Ted Baker กล่าวในการแถลงการณ์ว่า chatbot จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของบริษัท โดยการตอบคำถามที่ทีมบริการลูกค้าอยู่อาศัยมักจะได้รับอยู่เสมอ

ระบบผู้ช่วยอัตโนมัติของ Ted Baker อย่าง Seemore ถือเป็นระบบล่าสุดในตลาด chatbot ทั่วโลกซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้เกือบ 25% ในช่วง 4 ปีข้างหน้า ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในการบริการลูกค้าอาจช่วยให้แบรนด์ลดค่าใช้จ่ายสำหรับการสอบถามข้อมูลทั่วไปและการติดตามคำสั่งซื้อ คาดว่าภายในปี 2023 ระบบ chatbot จะช่วยให้ธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร และบริการดูแลสุขภาพ สามารถประหยัดงบประมาณส่วนนี้ได้มากกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ตามการประเมินของ Juniper Research)

ที่มา: : MobileMarketing

 
Source: thumbsup

The post Ted Baker โชว์คอลเลกชันใหม่ด้วย chatbot พลัง AI appeared first on thumbsup.

Amazon ยิ้มกว้าง แบรนด์ดังแห่ซื้อโฆษณาเพียบ

$
0
0


สื่ออเมริกันตั้งข้อสังเกตว่าวันนี้เพจค้นหาข้อมูลสินค้าของ Amazon นั้นเต็มไปด้วยโฆษณา โดยผลจากการที่แบรนด์ดังมากมายที่แห่เข้ามาซื้อโฆษณากับ Amazon มากขึ้นอย่างชัดเจน นั้นตอกย้ำว่า Google ที่เป็นเจ้าพ่อวงการโฆษณาออนไลน์กำลังถูกแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปไม่มากก็น้อย

สำนักข่าวที่รายงานแนวโน้มความรุ่งโรจน์ของ Amazon คือ Recode ซึ่งเมื่อทดลองค้นหาข้อมูลบน Amazon พบว่าบริการและหน้าผลการค้นหาของ Amazon จัดเต็มโฆษณาที่ได้รับการสนับสนุนหรือ sponsored ads มากขึ้น โดย sponsored ads นี้เป็นโฆษณาที่แบรนด์จะต้องประมูลจึงจะสามารถแสดงรายการสินค้าไว้ด้านผลของผลการเสิร์ชบน Amazon

Recode ย้ำว่าหลังจากศึกษาบริการของ Amazon มาระยะหนึ่ง พบ sponsored ads ถูกแบรนด์ใหญ่หมายปองมากขึ้น แถมแบรนด์ยังกล้าเสนอราคาสูงเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองโดดเด่นขึ้นเมื่อผู้บริโภคค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Amazon มีการจัดพื้นที่แสดง sponsored ads ให้ปรากฏในการค้นหาที่มีการใช้คำทุกรูปแบบทั้งคีย์เวิร์ดวงกว้างและคีย์เวิร์ดเฉพาะเจาะจงด้วย

ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้ sponsored ad ถูกมองว่าจะช่วยนักการตลาดรายใหญ่ของแบรนด์ดัง ให้มีโอกาสในการขายของบริษัท ตัวอย่างเช่น Kellogg ที่อัดงบเต็มที่เพื่อให้แบรนด์ในเครือ Kellogg ได้โชว์ตัวทันทีเมื่อมีการค้นหาคำว่า “cereal” หรือธัญพืช ซึ่งนอกจาก Kellogg วันนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่ลงทุนใน Amazon ตามรอย Kellogg

รายงานระบุว่าเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประมาณ 8% ของจำนวนการดูสินค้าบนหน้าผลิตภัณฑ์ของ Amazon มาจากลิงก์ sponsored ad ตัวเลขนี้มากกว่า 2 เท่าของปีที่แล้ว (ข้อมูลการสำรวจจาก Jumpshot) จุดนี้รายงานของ Recode พบว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนการดูสินค้าบนหน้า Amazon นี้เชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของ sponsored ad และตำแหน่งที่ Amazon จัดวางใหม่ให้โดดเด่นขึ้น

สถิติยังชี้ว่าเม็ดเงินสะพัดหรือการใช้จ่ายใน sponsored ad ของ Amazon เพิ่มขึ้นเรียบร้อย 165% ต่อปีในไตรมาสที่ 2 ปี 2018 (ข้อมูลจาก Merkle ที่อ้างอิงโดย Recode)

ที่มา: : MarketingDive

 
Source: thumbsup

The post Amazon ยิ้มกว้าง แบรนด์ดังแห่ซื้อโฆษณาเพียบ appeared first on thumbsup.

โซเชียลไทยคึกคัก รับศึกพิซซ่าแป้งดำ

$
0
0

เพจดังแชร์ภาพโฆษณาพิซซ่าแป้งสีดำที่หลายแบรนด์พร้อมใจสร้างสรรค์ออกมาแย่งลูกค้าที่อยากลองของใหม่ ทำให้วงการโซเชียลไทยเฮฮาอารมณ์ดีกับข้อความที่เกทับบลัฟแหลกกันจนเป็นสีสันที่เรียกยอดไลค์ได้สุดคึกคัก กลายเป็นอีกศึกล่าสุดของวงการการตลาดออนไลน์ในอุตสาหกรรมพิซซ่าที่น่าจับตา

โฆษณาแรกที่โซเชียลไทยหยิบมาพูดถึงเป็นของ Pizza Hut ที่ใช้ข้อความว่า “แปลกไปหรือแปลกใหม่?” พร้อมกับอธิบายว่า The BLACK นี้ทำมาจาก Black Cocoa ธรมชาติ 100%

คู่แข่งอย่าง The Pizza ไม่ยอมแพ้ ส่งโปสเตอร์พร้อมข้อความว่า ”พิซซ่า แบล็ก โวลเคโน่ เดือดกว่า ดาร์กกว่า” อธิบายให้เห็นภาพอีกว่าเข้มด้วยแป้งโกโก้ ปะทุลาวาชีส

ทีเด็ดอยู่ที่รายสุดท้ายคือ Domino Pizza ที่ใช้พื้นหลังสีดำ แต่โชว์พิซซ่าแป้งขาวพร้อมชีสไหลเยิ้มล่างข้อความว่า — จงอย่าเข้า “สู่ด้านมืด”

สถิติตั้งแต่ 14 กันยายนที่ผ่านมา โพสต์แซวแคมเปญนี้บนเพจ “สับหนัง ฝังซีรีย์” ถูกแสดงความรู้สึก 13,000 ครั้ง ความเห็นมากกว่า 4,600 รายการหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย การแชร์ระเบิดไปหลัก 19,000 ครั้ง ล่าสุด เพจดังกล่าวระบุว่าทาง “Pizza Hut” ได้ติดต่อและส่งพิซซ่า 4 ถาดมาให้เพจลองชิม เพจจัดการติดป้ายคำ #ขอขอบคุณพิซซ่าฮัทครับ และ #PizzaHut ให้ตามธรรมเนียม แม้โพสต์รีวิวพิซซ่าแป้งดำจะได้รับความสนใจไม่มาก แต่ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นอีกกรณีศึกษาน่าสนใจในแวดวงโซเชียลไทย

 
Source: thumbsup

The post โซเชียลไทยคึกคัก รับศึกพิซซ่าแป้งดำ appeared first on thumbsup.

Infographic: โฆษณาบน Facebook ตำแหน่งไหนเหมาะกับใคร

$
0
0

ทุกคนรู้ดีว่าตำแหน่งการวางโฆษณาบน Facebook มีความสำคัญ ซึ่งไม่เพียงโฆษณา Facebook แต่ยังมีโฆษณา Instagram และโฆษณาบนเครือข่าย Audience Network, Instant Articles และ Messenger ที่นักการตลาดทุกคนควรรู้ว่าแต่ละรูปแบบบนโฆษณาเหล่านี้มีโอกาสบรรลุจุดประสงค์ที่ต่างกันอย่างไร

ก่อนจะเลือกตำแหน่งโฆษณาเพื่อกำหนดเป้าหมายผู้ชม นักการตลาดทุกคนควรต้องตัดสินใจให้ได้ก่อนว่าต้องการให้โฆษณาบรรลุผลด้านใด จุดประสงค์ของบางโฆษณาอาจอยู่ที่การเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ บางโฆษณาอาจอยู่ที่การเพิ่ม Engagement, เพิ่มการดาวน์โหลดแอป หรือเพิ่มอัตราการเข้าชม ทั้งหมดนี้ไม่ได้บรรลุผลเพราะการวางโฆษณาในฟีดข่าวของ Facebook หรือในคอลัมน์ด้านขวาเท่านั้น แต่ยังมีโฆษณาแบนเนอร์ที่อาจจะให้ผลดีกว่าก็ได้

Infographic จาก Spiralytics จึงรวบรวมสูตรเบื้องต้นไว้เพื่อให้นักการตลาดดูเป็นแนวทาง ตัวอย่างเช่น หากใครต้องการเพิ่มอัตราการเข้าชมเว็บ Instagram ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ควรเลือกลงโฆษณาบน Facebook, Audience Network, Instant Articles และ Messenger แทน

สำหรับพื้นที่ฟีดข่าวของ Facebook จะเหมาะสมที่สุดกับโฆษณาที่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้ชมคลิกไปยังเว็บไซต์ หรือคลิกติดตั้งแอปบนเดสก์ท็อป และการรับรู้ในท้องถิ่น ขณะที่โฆษณาบน Messenger เป็นวิธีที่ดีในการดึงดูดผู้ชมให้ส่งข้อความถึงองค์กรหรือแบรนด์โดยตรง

สำหรับรายละเอียดเรื่องการระบุตัวเลือกการกำหนดตำแหน่งโฆษณาเครือ Facebook ที่ตรงกับวัตถุประสงค์อื่น ขอเชิญชมที่ Infographic ด้านล่าง

In other related advertisements, checkout AmazeLaw Facebook Ad Agencies.

ที่มา: : PRDaily

 
Source: thumbsup

The post Infographic: โฆษณาบน Facebook ตำแหน่งไหนเหมาะกับใคร appeared first on thumbsup.

7 ข้อคิดในการ “ทำโฆษณาแบบไม่ขายของ…อย่างเดียว”จากงาน Adman Awards Symposium 2018

$
0
0

ถ้าพูดถึง “งานโฆษณา” แน่นอนว่าเราจะนึกถึงการขายสินค้า  แต่สังคมทุกวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงทั้งสื่อและผู้บริโภค  ซึ่งค่านิยมของการทำโฆษณาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย  ทาง Adman Awards Symposium 2018 ได้จัดงานเสวนาเพื่อถกเถียงกันว่าโฆษณาที่ไม่ขายของอย่างเดียวนั้นจะสำเร็จได้หรือไม่  ลองมาดูแง่คิดดีๆ ในการทำโฆษณาที่น่าสนใจสำหรับนักโฆษณาและนักการตลาดกัน

Speaker:

  • ภาณิศา สุวรรณรัตน์ Senior Brand Manger – Dove & Clear Thailand, Uniliver
  • กรณ์ เทพินทราพิรักษ์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ Ogilvy & Mather
  • กิตติ ไชยพร Founder & Creative, Mana

Moderator: เป็นเอก รัตนเรือง

1. โฆษณาควรมีการ Add Value

กรณ์: การทำหนังโฆษณาที่ดีต้องมีการ Add Value ลงไปให้กับตัวโฆษณา  โดยกระบวนการเช็คต้องมองว่าเป็นข่าวสารที่ทำเพื่อคนดู  ไม่ใช่ข่าวสารที่มาจากคนทำ  เพราะคนทำโฆษณาต้องเคารพคนดู  อย่าทำหนังโฆษณายาวๆ ที่ไม่รู้เรื่องแล้วจบไป  เพราะคุณควรทำหนังโฆษณามาจากแกนกลางของสินค้า ซึ่งหลังจากโฆษณาจบแล้วต้องเฉลยได้ว่ากำลังเสนอสินค้าอะไร  และถ้าอยากยกระดับขึ้นไปก็ทำให้เป็นที่ถกเถียงกัน แต่ต้องมั่นใจว่าครึ่งหนึ่งฃองคนดูจะอยู่ฝ่ายเรา  ไม่ใช่ล่อแหลมมากจนกลายเป็นแง่ลบทั้งหมด  ใน ปี 1985 มีรายงานว่า  สิ่งที่ทำให้คนชอบหนังโฆษณาเรื่องหนึ่งไม่ใช่ความฉลาด แต่เป็นเพราะโฆษณาตัวนั้น “มีความหมายต่อชีวิตคนดู” นั่นคือเป็นมากกว่าโฆษณา เพราะเข้าไปกระตุ้นสิ่งดีๆ ในตัวคนดูให้เกิดขึ้น

ภาณิศา: โฆษณาที่ทำให้คนดูตลกก็ถือเป็นการตอบแทนสังคมได้เหมือนกัน  เพราะในสังคมปัจจุบันมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา  การที่แบรนด์ทำโฆษณาออกมาให้ขำเล็กๆ น้อยๆ  ก็ช่วยสังคมได้เหมือนกัน

2. หาจุดยืนให้ได้

ภาณิศา: การออกแบบหนังโฆษณาสักเรื่องต้องเริ่มจากมองว่าผู้บริโภคต้องการอะไร  และแบรนด์นั้นๆ จะเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างไร  นั่นคือ “จุดยืน” ที่ก่อให้เกิด “วัตถุประสงค์” เป็นตัวดันให้เกิดการพัฒนาสินค้า  และออกแบบโฆษณาเพื่อให้แง่คิด  หรือทำให้ผู้บริโภครักองค์กรมากขึ้น

ดังนั้นควรหาจุดยืนด้วยการคุยกับคนที่มีปัญหานั้นๆ และทำอย่างไรเพื่อให้รู้ว่าแบรนด์ต้องการเขา  เช่น ถ้าอยากโฆษณาโรลออนดับกลิ่นเต่า  สิ่งแรกที่จะพูดกับเอเจนซี่คือสินค้านี้มีประโยชน์อะไรกับคนใช้  ซึ่งจุดยืนของสินค้าคือ  คนเหงื่อออก กลิ่นเหม็น มีผลต่อคนรอบข้าง  และสินค้าตัวนั้นจะแตกต่างกับสินค้าอื่นได้นั้นมาจากการคุยกับกลุ่มคนที่ถูกต้อง  ให้คนกลุ่มนั้นรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจเรา  ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของสินค้าต้องพูดคุยกับเอเจนซี่ที่ทำโฆษณา

3. การ “ตอบแทนสังคม” ทำให้โฆษณาตัวนั้นครบถ้วน

ภาณิศา: หากคิดโฆษณามาครบ (ตอบโจทย์การขายของครบถ้วน) แต่ไม่มีส่วนที่ตอบแทนสังคมเลยก็อาจถือว่าโฆษณาตัวนั้นยังไม่ครบ  เพราะทุกคนพูดข้อดีของสินค้าเหมือนกันหมด  แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องยิ่งใหญ่มากมาย  เพราะอย่างการแก้ปัญหาเรื่อง “กลิ่นเต่า” ก็ช่วยสังคมได้แล้ว

กิตติ:  ลูกค้าเองอาจจะไม่ได้บรีฟว่าต้องการโฆษณาเพื่อสังคม  แต่การทำโฆษณาตอบแทนสังคมมันเป็นเหมือน ” รสนิยมของครีเอทีฟ” มากกว่า  เช่น โฆษณาผลิตภัณฑ์คนอร์  ที่ Mana ทำได้โจทย์มาว่า เดี๋ยวนี้คนกินข้าวนอกบ้านเยอะขึ้น ทำให้ขายไม่ดีเลย และอยากให้คนอยากทำอาหารมากขึ้น  นี่คือตัววัตถุประสงค์  แล้วคิดไอเดียผ่านวัตถุประสงค์นี้  ซึ่งไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะที่จะซื้องานแบบนี้ แต่ต้องพยายามชั่งน้ำหนักให้ได้ว่าหนังโฆษณาดีๆ นั้นควรดีถึงจุดไหน พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมได้จริงไหม

4. การทำโฆษณาก็เหมือนการ “จีบผู้หญิง”

ภาณิศา: การทำโฆษณาก็เหมือนการจีบผู้หญิง มันอยู่ที่ว่าเราเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีค่ามากแค่ไหน และถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำตอบโจทย์ผู้บริโภค ทุกอย่างจะสอดคล้องกันตั้งแต่การสร้างแบรนด์ไปจนถึงการทำผลิตภัณฑ์  ซึ่งเหมือนการจีบผู้หญิงที่ให้ดอกไม้ไปครั้งแรก เธอก็อาจไม่ตอบรับเลยทันที เปรียบได้กับการขึ้นป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ที่เมื่อลูกค้าเห็นวันแรกก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะซื้อเราเลย จึงต้องทำต่อไปเรื่อยๆ ให้ผู้บริโภคห็นว่าเราต้องการตอบโจทย์นี้จริงๆ แล้วยอดขายก็จะขึ้นตาม

ส่วนถ้ายอดขายไม่กระเตื้องเลย ก็ควรต้องถามตัวเองว่ามาถูกทางไหม สิ่งที่ทำอยู่นั้นคุยกับคนได้จริงไหม ซึ่งถ้าไม่คุยกับคนเราควรจะปรับยังไงให้สร้างความรักในแบรนด์ แล้วเพิ่มยอดขาย  เพราะเรียกได้ว่ายังไงยอดขายก็เพิ่ม แต่อยู่ที่วิธีการ

5. เสนอสิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกค้ารับได้

กิตติ: การนำเอา Message ดีๆ ไปเสนอแล้วลูกค้าไม่รับ เพราะอยากขายของอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ได้หมายความว่าทุกเจ้าจะรับไอเดียแบบนี้หมด  แต่ถ้าลูกค้าไม่รับก็ต้องหาวิธีอื่น  เพราะถ้าลูกค้าทำแบบไม่เข้าใจสุดท้ายเขาก็ไม่ทำแนวนี้ต่ออยู่ดี

กรณ์:  มีคติคำหนึ่งที่บอกว่า “Content is King, but finally Client is God” อาชีพเราคือขายของ นั่นคือต้องขายให้ nicely ที่สุด และอยู่ที่สติปัญญาของเราว่าจะเสนอสิ่งดีที่สุดที่ลูกค้ารับได้อย่างไร

กิตติ : เคยมีลูกค้าที่ทำลูกอมดับกลิ่นเหล้าเข้ามาหาเรา  โดยบอกว่าเมื่อใช้สินค้าแล้วเจอด่านตรวจนั้นรับรองว่าเป่าแอลกอฮอล์แล้วตรวจไม่เจอแน่ๆ  ในตอนนั้นไม่ได้รับทำสินค้าตัวนี้  แต่ตอนนี้กลับอยากทำแค่มีข้อแม้ว่าเขาต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนบรีฟกับเรานะ ด้วยการใช้กรรมวิธีสื่อสารใหม่ว่าไม่พูดแบบนี้ได้ไหม เพราะจริงๆ เขาแค่อยากขายของได้เยอะๆ งั้นก็ลองเปลี่ยนเป็นเรื่องจูบ หรือเรื่องดับกลิ่นได้ไหม

6. โฆษณาที่ดีนั้น “เปลี่ยนความคิดได้”

กร:  โฆษณาที่ดีคิดว่าต้องเปลี่ยนความคิดได้เลย อย่างเคยกินเบียร์ยี่ห้อนี้แล้วเปลี่ยนไปกินอีกยี่ห้อ แล้วเริ่มต้นเป็นสาวกที่ดีของยี่ห้อนั้น

พานิสา:ใช่เลย เหมือนการดึงเอาอินไซด์บางอย่างที่เป็นสัจธรรมออกมา  แล้วนำเสนอให้เราเปลี่ยนความคิดไป
เช่น  ผู้หญิงที่โตมาไม่มั่นใจ แต่พอดูโฆษณานี้แล้วรู้สึกดีกับตัวเอง  ยิ่งถ้าแตะเข้าไปในตัวคนดูได้ก็ทำให้รู้สึกดี  นั่นคือรางวัลของคนทำงาน  ซึ่งอาจไม่ต้องยิ่งใหญ่ระดับประเทศ แต่แค่เปลี่ยนคนๆ หนึ่ง แล้วจะไปเปลี่ยนคนอื่นต่อๆ กันไปได้

7. โฆษณาเป็นสื่อที่มี “พลัง”

กิตติ :โฆษณาเหมือนช่องทางหนึ่งที่มีพลัง  เพราะเราเห็นบ่อยๆ  ซึ่งถ้ามันเป็นสื่อที่มีพลังก็น่าเสียดายถ้าจะถูกปล่อยออกไปแบบไม่ดี มันเหมือนเราดูข่าวแล้วมีธรรมมะวันละข้อต่อท้ายรายการโทรทัศน์  ซึ่งเราอาจจะไม่ได้จำมันได้  แต่ก็ซึมซับไปได้บ้าง

และเมื่อก่อนโฆษณาจะถูกแยกระหว่างแบบขายของกับแบบเพื่อสังคม แต่พอทำมาสักพักจะเห็นว่าโฆษณาเพื่อสังคมนั้นมีสัดส่วนแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ในธุรกิจโฆษณา ทำให้อีก 95 เปอร์เซ็นต์ที่มีพลังนั้นน่าเสียดายถ้าจะถูกปล่อยไปแบบธรรมดา

การทำโฆษณาหนึ่งตัวจะมีคน 3 คนเข้ามาเกี่ยวข้องนั่นคือ เจ้าของสินค้า  กลุ่มเป้าหมายที่ซื้อสินค้า  และอีกคนคือคนที่ไม่เกี่ยวข้องแต่บังเอิญมาเห็นโฆษณาตัวนี้  ทำให้คิดว่ามันคงจะดีนะถ้าเราคิดไอเดียที่มันตอบทั้ง 3 คนนี้ได้  ให้คนที่ผ่านมาแล้วไม่เกี่ยวอะไรก็ยังรู่สึกว่าโฆษณาตัวนี้ดีนะ

สุดท้ายแล้วคุณกรณ์บอกประโยคหนึ่งที่เรารู้สึกชอบไว้ว่า  อย่าลืมความตั้งใจในการทำโฆษณานั้นอาจมีมหาศาล แต่ในที่สุดตอนจบแล้วมันคือหนังโฆษณาเรื่องเดียว ซึ่งถ้าอย่างน้อยจะช่วยยกระดับจิตวิณญาณของคนดูให้สูงขึ้นอีกนิดนึงนั้นก็เวิร์คแล้ว

 
Source: thumbsup

The post 7 ข้อคิดในการ “ทำโฆษณาแบบไม่ขายของ…อย่างเดียว” จากงาน Adman Awards Symposium 2018 appeared first on thumbsup.


“นายฮ้อย”ถูกเพจสิงคโปร์ก็อบปี้ทุกกระเบียด

$
0
0

ชาวโซเชียลแห่ตราหน้าเพจ Facebook สัญชาติสิงคโปร์รายหนึ่งว่าเป็นคนขี้ลอก เนื่องจากเพจนี้เผยแพร่วิดีโอที่ถอดแบบจากวิดีโอซีรีส์ “นายฮ้อย” ของ “วงใน” มาทุกกระเบียดนิ้ว เบื้องต้นแอดมินเพจยอมรับโดยดีว่ามีนายฮ้อยเป็นต้นแบบจริง พร้อมยกย่องผู้สร้างวิดีโอไทยว่าเป็นต้นฉบับที่ผลิตงานคุณภาพดูสนุกกว่า คาดไม่ใช่เพจสิงคโปร์นี้รายเดียว แต่อาจมีอีกหลายประเทศที่ลอกเลียนรูปแบบวิดีโอนายฮ้อยนี้เรียบร้อยไปแล้ว

เพจสิงคโปร์รายนี้มีชื่อว่า SingaporeBeauty เนื้อหาที่เพจนี้เผยแพร่คือวิดีโอสำหรับสถานีทีวีช่อง 8 ของสิงคโปร์ นอกจากนี้ เพจยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายวิดีโอรายใหญ่บน Facebook อย่าง INSIDER จุดนี้เพจการันตีว่าเป็นผู้ผลิตไวรัลวิดีโอด้านอาหารชั้นนำที่มียอดชมเกิน 32 ล้านครั้ง

ปัญหาอยู่ที่วิดีโอล่าสุด ซึ่งเพจนี้ใช้ชื่อว่า New Thai Tanic BBQ Buffet ไม่นานหลังจากวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ ชาวโซเชียลแสดงความเห็นว่าวิดีโอนี้คัดลอกรูปแบบจากวงในอย่างชัดเจน ทั้งการดึง 2 หนุ่มหน้าโหดมาชิมอาหารในสไตล์เดียวกับเอกลักษณ์ในซีรีส์นายฮ้อย จังหวะการตบโต๊ะ แม้กระทั่งคำว่า Very Good ที่ลอกมาแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด (คลิปบนเป็นต้นฉบับนายฮ้อยซาลาห์ คลิปล่างเป็นคลิปลอกเลียนแบบ)

เทียบตัวอย่างคลิปต่อคลิป

ชาวเน็ตคิดเห็นอย่างไร

ความเห็นที่ถูกโหวตมากที่สุดในวิดีโอนี้เป็นของ Jianhao Lew Clementea ซึ่งแสดงความเห็นว่า “Copycat version of Thai Wongnai.” ความเห็นนี้ได้รับคลิกถูกใจและแสดงความรู้สึกมากกว่า 1,500 ครั้ง ซึ่งเพจ SingaporeBeauty ตอบกลับว่า “we are the lousy version” เพื่อยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ นั่นคือการลอกงานของนายฮ้อยจนเป็นเวอร์ชันใหม่ที่คุณภาพต่ำกว่าต้นฉบับ

ความเห็นยอมรับของ SingaporeBeauty ได้รับการคลิกแสดงความรู้สึกหลายร้อยครั้ง การยอมรับความจริงโดยไม่โต้แย้งทำให้ไม่มีการขัดแย้งใดเกิดขึ้นบนเพจ ตัวอย่างเช่นเมื่อมีบางความเห็นระบุว่า “ยังไงของคนไทยก็ดูสนุกกว่า” แอดมินตอบว่าเห็นด้วย แม้ว่าทีมงานจะพยายามเต็มที่แล้ว รวมถึงอีกหลายความเห็นที่เพจยอมรับว่าวงในเป็นต้นฉบับที่มีคุณภาพตัวจริง

อีกจุดที่น่าสนใจในปรากฏการณ์นี้ คือความเห็นของผู้ใช้ชื่อ Bryan E S Lee I ที่บอกว่าใน 1 สัปดาห์ ตัวเขาได้เห็นวิดีโอของวงในถูกลอกเลียนแบบ 3 ครั้ง โดย 1 ครั้งจากเพจอินโดนีเซีย อีก 1 ครั้งจากเพจฟิลิปปินส์ และล่าสุดคือเพจจากสิงคโปร์ ประเด็นนี้ SingaporeBeauty หยอดคำหวานว่า เป็นเรื่องจริงที่วิดีโอของวงในกลายเป็นไวรัลที่ดังไปทั่วโลกแล้ว

ปรากฏการณ์นี้ยังสะท้อนมุมมองไม่ธรรมดาเรื่องการก็อปปี้ในโลกดิจิทัล เพราะบางความเห็นบอกว่าการก็อปปี้แบบนี้ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหาย และคนไทยควรดีใจที่ประเทศเพื่อนบ้านติดตามและชื่นชอบ แต่น่าเสียดายที่ความเห็นนี้ไม่ได้คิดถึงหัวอกทีมทรีเอทีฟของวงใน ซึ่งเชื่อว่าอาจจะอยู่ในภาวะหวานอมขมกลืน แอบเซ็งอยู่บนความดีใจว่านายฮ้อยวันนี้โด่งดังไปทั่วโลกจริงๆ

 
Source: thumbsup

The post “นายฮ้อย” ถูกเพจสิงคโปร์ก็อบปี้ทุกกระเบียด appeared first on thumbsup.

โทษทีที่พี่รวย เพจ “รีวิวคนรวย”ขาย Sticker Line แบบไม่เหมือนใคร

$
0
0

 

จับเคล็ดวิธีขายสไตล์เพจ “รีวิวคนรวย” เพจ Facebook ที่หลายคนชื่นชอบ ความน่าสนใจของเพจนี้คือการครีเอทข้อความโดนใจที่ทำให้คนไทยแชร์หลายร้อยครั้งต่อวัน แถมเมื่อต้องการขาย Sticker ก็ใช้วิธีเปิดเผยยอดขายที่ทำได้ใน 1 วัน พร้อมกับการแซวว่า “ไปตีกะปอมขายยังรายได้ดีกว่า”

ความน่าสนใจของเพจรีวิวคนรวยอยู่ที่วิธีการเรียกรอยยิ้มจากเนื้อหาที่เพจสร้างขึ้น ตัวอย่างเช่นโพสต์ช่วงล่าสุดที่ระบุว่า “เพราะเราก็แค่รวย ไม่ได้เป็นโรค จะไปกลัวทำไมความจริง” ซึ่งเรียกคะแนนการแสดงความรู้สึก 3.8 พันครั้งในเวลา 7 ชั่วโมง มีการแสดงความเห็น 170 ครั้ง ยอดแชร์เกิน 400 ครั้งเรียบร้อย

เมื่อเพจหวังจะขาย Sticker Line เพจรีวิวคนรวยเลือกเปิดเผยรายได้ถล่มทลายที่ทำได้ใน 1 วัน แต่น่าเสียดายที่ผู้อ่านแชร์กันน้อย แม้จะเป็นโพสต์ที่มีเนื้อหาอ่านสนุกก็ตาม

สถิติน่าสนใจที่โพสต์นี้เปิดเผยคือ แม้จะมีผู้ติดตามบนเพจ 180,000 คน แต่ยอดจำหน่าย Sticker Line ของเพจคิดเป็น 7,081 เยน หรือ 2,145 บาทใน 1 วัน ถือว่ารายได้ไม่สูงทั้งที่เพจรีวิวคนรวยสามารถ “ฝ่า 7 แสนสติ๊กเกอร์ และพาตัวเองติดอันดับที่ 16” ได้โดยไม่มี Sticker จากเพจไหนติดอันดับด้วยเลย ยกเว้นเพจของ “แคปเฌอ BNK48”

“แล้วพอมาดูยอดการใช้งาน ค่อนข้างดี คือซื้อไปแล้วได้ใช้จริง แม้ว่าจะเป็นคำพูดและท่าทาง ที่ไม่น่าจะใช้ได้ในชีวิตประจำวันของคนปกติ” เพจระบุก่อนจะทิ้งท้ายิดการขายว่า “สุดท้ายนี้ ฝากบอก .. ช่วยกันโหลดสิยะ คนละไม้ คนละมือ ถ้าไม่ถึง 10,000 เยน ก็เอาเงินออกไม่ได้ จะซื้อละลบสักพันรอบก็ทำเถอะ การกุศลทั้งนั้น”

เพจรีวิวคนรวยนี้ถือเป็นอีกกรณีศึกษาดีเยี่ยมเรื่องการขายในวิธีที่หลากหลาย ซึ่งถือว่าตอบโจทย์คนไทยในยุคโซเชียลไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะกลุ่มที่ชอบความตรงไปตรงมา

 
Source: thumbsup

The post โทษทีที่พี่รวย เพจ “รีวิวคนรวย” ขาย Sticker Line แบบไม่เหมือนใคร appeared first on thumbsup.

เมื่อไหร่มาไทย! Samsung Ads เริ่มแล้วที่สหรัฐฯ เชื่อม OTT เข้ากับระบบ linear ad inventory เอาใจแบรนด์

$
0
0

ไม่ธรรมดาเลยสำหรับ Samsung Ads บริการโฆษณาของ Samsung ที่จะเชื่อมบริการ OTT หรือ over-the-top เข้ากับบริการ linear ad inventory ให้แบรนด์สามารถบริหารความถี่ในการโฆษณาได้ดีกว่า OTT ทั่วไป คาดแบรนด์จะสามารถเข้าถึงผู้ชมบนโทรศัพท์มือถือของ Samsung รวมถึงสมาร์ททีวี และคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปได้ง่ายกว่าเดิม

ความเคลื่อนไหวของบริการ Samsung Ads นี้ถูกเปิดเผยโดยผู้บริหาร Samsung ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AdExchanger ว่าด้วย Samsung Ads ยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติกิมจิจะสามารถเข้าถึงผู้ชมบนโทรศัพท์มือถือ สมาร์ททีวี และคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ด้วยการขายพื้นที่โฆษณาของตัวเองแก่แบรนด์ได้โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากผู้ผลิตสมาร์ททีวีรายอื่น ที่ใช้วิธีขายสิทธิ์อนุญาตให้ใช้ข้อมูลผู้ชมในฐานะบุคคลที่หนึ่งหรือ first-party audience data

เอื้อประโยชน์นักการตลาดอย่างไร

เบื้องต้น ไม่ชัดเจนว่า Samsung เป็นเพียงบริษัทเดียวที่วางจำหน่ายสินค้าในสหรัฐฯ ที่สามารถเชื่อมต่อบริการ OTT ของตัวเองเข้ากับบริการโฆษณาแบบ linear ad inventory หรือไม่ เนื่องจากผู้ผลิตทีวีสมาร์ททุกรายสามารถรวบรวมข้อมูลการรับชมเนื้อหาจากอุปกรณ์ของตนและวัดผลว่าผู้ชมเห็นโฆษณา OTT หรือไม่

อย่างไรก็ตาม Samsung พยายามแสดงจุดยืนชัดเจนได้เร็วกว่ารายอื่น ในการช่วยนักการตลาดรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุงแคมเปญโฆษณาทางทีวีของแต่ละคนได้แบบทันใจในระหว่างที่แคมเปญเริ่มต้นไปแล้ว

จุดนี้ AdExchanger รายงานว่า Samsung ดำเนินการรวบรวมข้อมูลผู้ชม เฉพาะในกลุ่มผู้ชมที่เลือกยินยอมให้ข้อมูลส่วนบุคคลตั้งแต่ช่วงตั้งค่าเริ่มใช้งานสมาร์ททีวี จุดนี้ Tom Fochetta หัวหน้าฝ่าย Samsung Ads ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่า จำนวนผู้ชมกลุ่มที่ยินยอมให้ข้อมูลนั้นมีมากหรือน้อยเพียงใด

ที่น่าสนใจคือ Samsung Ads ถูกมองว่ามีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากบริษัทแม่นั้นเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งด้านอุปกรณ์เคลื่อนที่และสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา Samsung สามารถทำยอดขายอุปกรณ์ได้มากถึง 200 ล้านเครื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นทีวีอัจฉริยะ 32 ล้านเครื่องที่มีการแทรกโฆษณาแบบ linear (แสดงเต็มจอ) ​และ OTT แบบ inventory ที่นักการตลาดสามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญได้ทันที จุดนี้ Samsung Ads ยังมีอนาคตไกลเพราะข้อมูลระบุว่าหลายล้านครัวเรือนอเมริกันยกเลิกการสมัครรับชมเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม แล้วหันมาลงชื่อสมัครใช้บริการ OTT ที่มีแพ็คเกจชมฟรีแต่มีโฆษณาเช่น Hulu, Roku และ Pluto TV มากขึ้น

กรณีของ Samsung Ads นักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจช่วยให้แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงตลาดแมส สามารถมีช่องทางโฆษณาที่เข้าถึงผู้ชมเฉพาะกลุ่มได้ แม้ขณะนี้จะยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า Samsung Ads จะขยายไปยังสมาร์ทโฟนหรือไม่ แต่เชื่อว่า Samsung กำลังเร่งสำรวจข้อมูล เพราะวันนี้ผู้บริโภคดูวิดีโอจากโทรศัพท์มากกว่าทีวี

นอกจากนี้ Samsung ยังมีขีดความสามารถแสดงโฆษณาข้ามแพลตฟอร์ม เพื่อเข้าถึงผู้ชมผ่านเครื่องเล่นเกมและอุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นด้วย ซึ่งคาดว่าทุกอย่างจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในอนาคต.

ที่มา: : MM

 
Source: thumbsup

The post เมื่อไหร่มาไทย! Samsung Ads เริ่มแล้วที่สหรัฐฯ เชื่อม OTT เข้ากับระบบ linear ad inventory เอาใจแบรนด์ appeared first on thumbsup.

แบรนด์ไทยเอามั่งไหม IBM แจ้งเกิดกองทัพโฆษณา AI อินเทอร์แอคทีฟใหม่ตอบโจทย์แบรนด์

$
0
0


IBM เปิดตัวชุดโซลูชั่นด้านการตลาดบนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ในงานโฆษณาสัปดาห์ Advertising Week 2018 ที่โดดเด่นคือระบบ Watson Ads Omni อีกเวอร์ชันของระบบ Watson Ads ซึ่งช่วยให้นักการตลาดสามารถติดตั้งระบบ interactive ที่ใช้เทคโนโลยี AI ในไซต์ดิจิทัลใดก็ได้ คาดว่าจะตอบโจทย์แบรนด์ทั่วโลกได้มากขึ้น

สำหรับปีนี้ Lego Systems จะเป็นแบรนด์แรกที่ใช้ระบบ Watson Ads Omni ในวัน Black Friday โดยรูปแบบโฆษณาประกอบด้วยข้อมูลสินค้าของ Lego จำนวน 35 รุ่น และบนคำการันตีว่าระบบนี้จะช่วยให้แบรนด์ของเล่นอย่าง Lego สามารถตอบสนองความสนใจและความต้องการของผู้บริโภคที่ต่างกันได้อย่างเหมาะสม

อีกเครื่องมือใหม่น่าสนใจของ IBM คือ Media Optimizer ระบบที่สามารถยกระดับแพลตฟอร์ม DSP (demand-side platform) และแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูล DMP (data management platform ) บนคลาวด์ของ MediaMath เป้าหมายหลักคือเพื่อช่วยให้นักการตลาดบริหารงบและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็พ่วงระบบที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าและวัดผลได้ดีขึ้น

ยังมีเครื่องมือที่ IBM เรียกว่า Intelligent Bidder ซึ่งใช้ AI ในการปรับปรุงการใช้จ่ายเพื่อซื้อโฆษณา programmatic จุดนี้ Intelligent Bidder จะช่วยลดต้นทุนต่อการซื้อได้เนื่องจากระบบจะวิเคราะห์เวลา ช่องทาง และมูลค่าการเสนอราคาสำหรับแต่ละตำแหน่งโฆษณา สำหรับผู้ชมแต่ละกลุ่ม ตามความน่าจะเป็นในแบบเรียลไทม์

IBM ยังจัดเต็มระบบ Predictive Audiences ซึ่งยืนยันว่าจะช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้ง ช่วยให้นักการตลาดพัฒนากลยุทธ์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายตามความเกี่ยวข้องของบริบทมากขึ้น โซลูชันนี้สามารถทำงานร่วมกับข้อมูลเช่นสถานที่ สภาพอากาศ และข้อมูล CRM ของลูกค้า ซึ่งจะทำให้ระบุตัวผู้บริโภคที่มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้า หรือดำเนินการใดอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น

ทั้งหมดนี้ถือเป็นทางเลือกใหม่จาก IBM ที่คาดว่าจะมีอิทธิพลสูงมากในวงการการตลาดดิจิทัลนับจากนี้

ที่มา: : MM

 
Source: thumbsup

The post แบรนด์ไทยเอามั่งไหม IBM แจ้งเกิดกองทัพโฆษณา AI อินเทอร์แอคทีฟใหม่ตอบโจทย์แบรนด์ appeared first on thumbsup.

ชาวเน็ตร้องว้าว!! Facebook ครองตลาดโฆษณาวิดีโอ 25%

$
0
0


บริษัทวิจัย eMarketer พบว่า Facebook ครองเม็ดเงินสะพัดในวงการโฆษณาวิดีโอมากกว่า 25% เรียกว่าจัดเต็ม 1 ใน 4 ของเค้กก้อนโตที่มีมูลค่ามหาศาลในปีนี้

จากการสำรวจเม็ดเงินสะพัดในตลาดโฆษณาวิดีโอ eMarketer พบว่า Facebook ครองส่วนแบ่งในตลาดโฆษณาวิดีโอรวมของสหรัฐฯมากกว่า 25% เบื้องต้น eMarketer ฟังธงภาพรวมตลาดโฆษณาวิดีโอแดนลุงแซมจะเติบโตขึ้น 30%

eMarketer ประเมินว่ายอดการใช้จ่ายในตลาดโฆษณาวิดีโอออนไลน์อเมริกันจะเพิ่มขึ้น 30% จากปีที่แล้วเป็น 27,820 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 908,309 ล้านบาท) ตัวเลขนี้จะคิดเป็น 25% ของโฆษณาดิจิทัลในสหรัฐฯประจำปี 2018

งานวิจัยของ eMarketer แบ่งพื้นที่สำรวจออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือตลาดโฆษณาวิดีโอรวม และตลาดโฆษณาวิดีโอบนโซเชียล จุดนี้ eMarketer ชี้ว่า Facebook จะมีส่วนแบ่ง 24.5% ของการใช้จ่ายโฆษณาวิดีโอรวมในปีนี้ บนมูลค่า 6,810 ล้านเหรียญ ซึ่งตัวเลขนี้รวมธุรกิจของ Instagram แล้ว ส่งให้ Facebook เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีส่วนแบ่ง 87% จากยอดเงินซื้อโฆษณาวิดีโอโซเชียล (บนสื่อสังคมออนไลน์) ในสหรัฐฯ

ด้านคู่แข่งของ Facebook อย่าง Snapchat เชื่อว่ารายได้จากธุรกิจโฆษณาวิดีโอของ Snapchat ในสหรัฐจะเติบโต 19% เป็น 397.3 ล้านเหรียญในปีนี้ โดย eMarketer คาดการณ์ว่าวิดีโอจะเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ให้ Snapchat ราว 60% ของรายได้รวมธุรกิจโฆษณาในสหรัฐฯภายในปี 2020 ซึ่งในช่วง 3 ปีที่รายได้ Snapchat จะเติบโตต่อเนื่อง Snapchat จะมีส่วนแบ่งรายได้ในตลาดวิดีโอโซเชียลราว 5.1% ในปีนี้

eMarketer ยังประเมินว่า รายได้ 55% ที่ Twitter ทำได้จากธุรกิจโฆษณาในสหรัฐฯช่วงปีนี้จะมาจากวิดีโอ คาดว่าในปีนี้รายได้ของ Twitter จากธุรกิจโฆษณาวิดีโอจะเติบโตมากกว่า 12% เป็น 633.3 ล้านดอลลาร์ ทำให้ Twitter มีสัดส่วน 8.1% ในเม็ดเงินซื้อสื่อโฆษณาวิดีโอโซเชียล และมีส่วนแบ่ง 2.3% ของเม็ดเงินใช้จ่ายโฆษณาวิดีโอรวมของสหรัฐฯ

ที่มา: MarketingDive

 
Source: thumbsup

The post ชาวเน็ตร้องว้าว!! Facebook ครองตลาดโฆษณาวิดีโอ 25% appeared first on thumbsup.

Viewing all 1958 articles
Browse latest View live