Quantcast
Channel: Digital Advertising – Thumbsup
Viewing all 1958 articles
Browse latest View live

Twitter และ Facebook เริ่มแบนแคมเปญจากสื่อรัฐบาลจีน ที่ดิสเครดิตการชุมนุมของคนฮ่องกงแล้ว

$
0
0

Twitter และ Facebook ออกแถลงการณ์ ระบุจัดการเนื้อหาที่ดิสเครดิตผู้ชุมนุมชาวฮ่องกง ที่มาจากชาวจีนหรือรัฐบาลจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังสถานการณ์การชุมนุมเริ่มยืดเยื้อออกไป กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้คนในฮ่องกงและจีน

สถานการณ์การชุมนุมของชาวฮ่องกง นับตั้งแต่มีัการประท้วงกฎหมายส่งผู้ร้ายจากฮ่องกงกลับไปตัดสินที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ผู้บริหารเกาะฮ่องกงจะยอมถอยแล้ว แต่สถานการณ์การชุมนุมเริ่มยืดเยื้อออกไป กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้คนในฮ่องกงและจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 ส.ค. 62) ทั้ง Twitter และ Facebook ต่างออกแถลงการณ์เพื่อจัดการเนื้อหาที่ดิสเครดิตผู้ชุมนุมชาวฮ่องกง ที่มาจากชาวจีนหรือรัฐบาลจีนแล้ว

ในแถลงการณ์ Twitter ระบุว่าพบ 936 บัญชีจากประเทศจีน ที่มีความจงใจและพยายามหว่านล้อมด้วยข้อมูลที่ทำลายความชอบธรรมในการประท้วงและเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวฮ่องกง

และแถลงการณ์ Facebook ระบุว่าพบ 5 บัญชี Facebook, 7 เพจ, 3 กรุ๊ป ซึ่งพบว่า 15,500 บัญชีกำลังตามเพจดังกล่าวมากกว่า 1 เพจ และมีอีก 2,200 บัญชีที่เข้าอย่างน้อย 1 กรุ๊ปดังกล่าว ที่มีความเกี่ยวข้องกับการดิสเครดิตผู้ชมนุมในฮ่องกงที่มาจากประเทศจีน

แน่นอนว่า Twitter และ Facebook แบนบัญชีและช่องทางที่เผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความสับสนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทางด้าน YouTube ก็ถูกผู้ใช้งานใน Twitter และ Reddit กดดันให้ลบหรือแบนโฆษณา China Central Television หรือ CCTV ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลจีนที่เผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้ชุมนุมในฮ่องกงอีกด้วย

ซึ่งตอนนี้ YouTube และ Google ก็ไม่ได้มีนโยบายเจาะจงไปยังโฆษณาจากสื่อรัฐอย่าง CCTV เลย แม้ Google จะมีนโยบายเกี่ยวกับโฆษณาการเมืองและเนื้อหาด้านการเมืองที่สร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้ YouTube ก็ยังไม่ตอบในประเด็นนี้แต่อย่างใด ปัจจุบัน YouTube Channel ของ CCTV มีผู้ติดตามมากกว่า 560,000 รายแล้ว

ส่วน Geng Shuang โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนออกมาปกป้องแคมเปญดังกล่าว โดยระบุว่า “บัญชีดังกล่าวไม่ใช่ทีมบิดเบือนข้อมูลของรัฐบาล แต่ชาวจจีนที่เป็นนักเรียน(หรือนักศึกษา)และเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศนั้นมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ได้”

ที่มา: Social Media Today, The Next Web และ The Verge

The post Twitter และ Facebook เริ่มแบนแคมเปญจากสื่อรัฐบาลจีน ที่ดิสเครดิตการชุมนุมของคนฮ่องกงแล้ว appeared first on Thumbsup.


เจาะลึก 3 ข้อมูลอินไซต์ที่ LinkedIn จัดใหญ่อำนวยความสะดวกนักการตลาดยิ่งขึ้น

$
0
0


เรารู้กันดีว่าตัวเลขและข้อมูลสามารถช่วยเพิ่มความสบายใจให้นักการตลาดที่ต้องการพิสูจน์ ROI ได้อย่างมาก และวันนี้ LinkedIn ก็เสนอ 3 ข้อมูลและรายงานเชิงลึกเหนือชั้นยิ่งขึ้นให้ลูกค้านักการตลาดสามารถรู้จักกลุ่มคนและอุตสาหกรรมเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม ผลจากการอัปเดทครั้งนี้จะทำให้นักการตลาดสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อยอดนิยมและพฤติกรรมผู้ใช้ LinkedIn รวมถึงแนวโน้มและเครื่องมือวัดประสิทธิภาพแคมเปญบนแพลตฟอร์มได้ทะลุปรุโปร่งอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

LinkedIn ระบุในบล็อกโพสต์ของบริษัทว่า วันนี้ชุมชน LinkedIn มีสมาชิกมากกว่า 645 ล้านคนและอีก 30 ล้านธุรกิจทั่วโลก ความนิยมนี้ทำให้ LinkedIn เป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับการสร้างเครือข่ายมืออาชีพ และยังเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้คน อุตสาหกรรม และการโฆษณาที่นักการตลาดหลายคนรู้จักดี

ด้วยข้อมูลมากมายที่ LinkedIn รู้ว่ามีค่าในสายตานักการตลาด LinkedIn จึงเปิดหน้าเพจใหม่ชื่อ LinkedIn Insights and Research ซึ่งจะเป็นฟีเจอร์ใหม่ภายในเครื่องมือชื่อ Success Hub for Marketers ที่เน้นให้บริการในฐานะศูนย์กลางความสำเร็จสำหรับนักการตลาด

1. People Insights

LinkedIn แบ่งข้อมูลเชิงลึกใน Insights and Research hub ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลเชิงลึกเรื่องผู้คน (People Insights) อุตสาหกรรม (Industry Insights) และโฆษณา (Advertising Insights) ซึ่งทุกอินไซต์เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวกบาย

ในส่วน People Insights เครือข่ายสังคมมืออาชีพย้ำว่านักการตลาดสามารถทราบข้อมูลผู้ชมใน LinkedIn ได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นใคร มาจากไหน และมีส่วนร่วมกับอะไรบ้าง ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์แคมเปญได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ซึ่งนักการตลาดสามารถกรองผู้ชมตามกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น กลุ่มผู้บริหาร C-suite, กลุ่มเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก, ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที ฯลฯ

นอกจากกรองผู้ชม ในเพจยังเปิดให้ผู้ใช้เลือกหัวข้อที่สะท้อนถึงผู้ชมกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น หัวข้อการร่วมทุน การทำคลาวด์คอมพิวติ้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงสามารถดูว่าเนื้อหาที่สมาชิก LinkedIn มีส่วนร่วมมากที่สุดบนแพลตฟอร์มคือคอนเทนต์แบบใด

2. Industry Insights เจาะแนวโน้มตลาด

ที่ส่วน Industry Insights จะเปิดให้นักการตลาดบน LinkedIn สามารถค้นหาข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ แนวโน้ม และการวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจล่าสุด รวมถึงข้อมูลเชิงลึกอื่นที่สามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์การตลาดได้ เช่น ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการทางการเงิน เทคโนโลยี และการดูแลสุขภาพ

ยังมีข้อมูลเทรนด์การตลาด B2B ระดับสูง รวมถึงแนวคิดที่แตกต่างเพื่อทำให้ธุรกิจโดดเด่นจากคู่แข่ง

3. โฆษณาเชิงลึก

สำหรับส่วน Advertising Insights นี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักการตลาดเข้าใจภูมิทัศน์การโฆษณาบน LinkedIn อย่างเต็มที่ เบื้องต้น LinkedIn การันตีว่าจะให้ข้อมูลจากทุกมุมมองเพื่อให้นักการตลาดสามารถเปรียบเทียบ วัดผล และเพิ่มอิมแพคทางการตลาดให้ได้มากที่สุด

ข้อมูลสำคัญในส่วนนี้มีทั้งคำแนะนำเกี่ยวกับการวัดประสิทธิภาพ เพื่อให้นักพัฒนาสามารถจับคู่กลยุทธ์โฆษณากับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหลักได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเทคนิคการสร้างแบรนด์ กลยุทธ์ และการวิจัยเกี่ยวกับการจัดบุคลากรฝ่ายขายและการตลาดที่เหมาะชมบน LinkedIn

LinkedIn ระบุว่า 3 ข้อมูลฮิตเหล่านี้ถูกรวมไว้ในเว็บไซต์ ซึ่งทำให้นักธุรกิจและนักการตลาดสามารถรับข้อมูลเชิงลึกของ LinkedIn ได้เพียงปลายนิ้ว ใครสนใจขอเชิญเลยที่เพจ Insights and Research.

ที่มา: : LinkedIn

The post เจาะลึก 3 ข้อมูลอินไซต์ที่ LinkedIn จัดใหญ่อำนวยความสะดวกนักการตลาดยิ่งขึ้น appeared first on Thumbsup.

ทำความรู้จัก Taboola แพลตฟอร์มโฆษณาที่จะชวนให้คนทำคอนเทนต์วีดีโอให้มากขึ้น

$
0
0

ในยุคที่คนไทยนิยมดูวีดีโอมากขึ้น หลายแบรนด์ก็ต้องการที่จะมองหาเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการสื่อสารและส่งต่อคอนเทนต์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและดีขึ้นกว่าเดิม

Taboola คือใคร

ทาบูล่า (Taboola) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแสดงผลคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุดและเข้าถึงมากกว่าครึ่งของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก เชื่อมโยงผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตกว่า 1,400 ล้านคนต่อเดือนผ่านคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เพื่อเข้าใจผู้บริโภคได้ดีขึ้นว่าพวกเขาพร้อมที่จะเปิดรับและมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์จากแบรนด์เมื่อใด

โดยเฉลี่ยผู้คนจะเห็นข้อความจากแบรนด์ต่างๆ วันละ 10,000 ข้อความ ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่มหาศาล โลกเราทุกวันนี้มีทางเลือกต่างๆ เนื้อหาต่างๆ จากแบรนด์ต่างๆ มากเกินไป ทำให้มีประสบการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย จนทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนและไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่กลัวว่าตนจะพลาดข้อมูลบางอย่างเมื่อต้องตัดสินใจเลือก

ดังนั้น นักการตลาดยุคใหม่ใช้ประโยชน์สูงสุดจาก 3 เสาหลักของการทำการตลาดดิจิทัล โดยทั้ง 3 เสาที่ว่านี้คือ Search (การค้นหาผ่านเสิร์ช เอ็นจิ้น) Social (โซเชียลมีเดีย) และ Discovery (การค้นพบ) ซึ่งนักการตลาดส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการทำการตลาดผ่าน Search และ Social กันดีอยู่แล้ว แต่มักไม่คุ้นเคยกับเสาที่ 3 ของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ซึ่งก็คือ Discovery (การค้นพบ)   

Discovery (การค้นพบ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Native Advertising เป็นหนึ่งในหนทางที่มีประสิทธิผลสูงสุดในการสร้างการรับรู้ให้แก่แบรนด์และช่วยให้แบรนด์เอาชนะใจลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยตั้งเป้าให้ ไทยเป็นตลาดหลัก และคาดว่าในปีนี้จะมีการเติบโตถึง 50-60 %

เนื่องจาก Native Ad. หรือ รูปแบบโฆษณาที่ใช้เนื้อหาลักษณะเดียวกับเนื้อหาปกติในเว็บไซต์นั้นๆ อย่างกลมกลืน และมีข้อได้เปรียบด้านความน่าเชื่อถือจากเว็บสำนักข่าวซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเนื้อหา ทำให้โฆษณาลักษณะนี้เข้าถึงผู้คนผ่านแพลตฟอร์มที่พวกเขาอ่านและมีส่วนร่วมอยู่แล้ว

นายรัน บัค รองประธานอาวุโสของ ทาบูล่า( Taboola) เปิดเผยว่า ปัจจุบันทาบูล่า เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม แสดงผลคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุด เชื่อมโยงผู้คน 1.4 พันล้านรายในแต่ละเดือน ถือเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรอินเตอร์เทอร์เน็ตทั่วโลก ผ่านคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เคลื่อนที่  ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Leaming) เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยได้รับการแนะนำ 5  แสนครั้งต่อเดือน เนื้อหาได้รับการคลิก 1,500 ล้านครั้งต่อเดือนและมีมากกว่า 34 ภาษา โดยเป็นการเข้าใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ทั่วโลกร้อยละ 43.6

สำหรับในส่วนของประเทศไทย ทาบูล่า ก็สามารถเข้าถึงคนไทยที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ถึง 95% และมีพันธมิตรที่เป็นสื่อชั้นนำระดับประเทศรายใหญ่ของไทยเกว่า 1,000 หลาย และมีกลุ่มลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย ทั้งส่วนของ เครื่องสำอาง อสังหาริมทรัพย์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ 

โดยปัจจุบันการนำเสนอคอนเทนต์วิดีโอรวมถึง News Feed บนโซเซียลมีเดียเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมในไทย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วคนจะเห็นข้อความจากแบรนด์ต่างๆ วันละ 1 หมื่นข้อความ ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Google Twitter และ LINE ทำให้ให้เกิดข้อมูลมหาศาล จึงทำให้เกิดทางเลือกมากมาย นักการตลาดจึงควรจะใช้เครื่องมือให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา

ทางด้านการลงทุนของ Taboola ในเทคโนโลยีปัญญาประเดิษฐ์และการเรียนรู้เชิงลึก มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเข้าถึงผู้บริโภคในช่วงเวลาที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและการนำพาผู้บริโภคให้ก้าวไปสู่ขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการตัดสินใจซื้อให้แก่แบรนด์ทั้งหลาย

นอกจากนี้ Taboola ยังต่อยอดด้วยการนำเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาคัดสรรเนื้อหาที่คาดว่าผู้บริโภคแต่ละคนมีแนวโน้มที่จะสนใจรับสารต่อจากเนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่ด้วย

การทำตลาดดิจิทัลส่วนใหญ่จะใช้การค้นหาผ่าน Search Engine, Social และ Discovery แต่นักการตลาดส่วนใหญ่จะยังไม่คุ้นเคยกับ Discovery ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างการรับรู้และสร้างแบรนด์

ปัจจุบันโฆษณาที่นักการตลาดไม่ควรทำ คือ Display และ Banner เพราะจากสถิติที่ Taboola วิเคราะห์พบว่าคนส่วนใหญ่จะมองข้าม ไม่สนใจ ส่วน Billboard ก็อาจเป็นเครื่องมือที่วัดผลได้ยาก

โดยในแต่ละวันผู้คนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูราว 100 ครั้ง นับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักโฆษณาที่จะสื่อสารกับลูกค้าได้สะดวกขึ้น

นอกจากนี้ Taboola ยังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมและผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือในการส่งตรงบริการ Taboola News ให้เข้าถึงอุปกรณ์ของผู้บริโภคและแอปพลิเคชันข่าวในกว่า 50 ตลาดทั่วโลก โดยลูกค้าที่เคยร่วมมือกับ Taboola อย่าง Nespress และ Sony Picture Entertainment ยังมีการเติบโตด้านการมีส่วนร่วมของผู้ชมด้วย

“เพราะประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักที่สำคัญของ Taboola โดยบริษัทวางเป้าหมายว่าจะทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าถึงและดูได้ทุกอุปกรณ์ และเพิ่มการทำงานรวมกับพาร์เนอร์ที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ไปจนถึง SME คาดว่าจะเติบโต 50-60% เมื่อเทียบกับปีก่อน”

นอกจากนี้ เพื่อให้พาร์ทเนอร์มั่นใจในความตั้งใจจริงของการทำตลาด Taboola จึงเลือกกรุงเทพฯ เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งแต่ปี 2556

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเม็ดเงินในสื่อโฆษณาดิจิทัลในประเทศไทยยังมีตัวเลขที่น้อยอยู่ เมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่เชื่อว่าในอนาคตหากการเข้าถึงสื่ออนไลน์ เพิ่มมากขึ้น พฤิกรรมของคนใช้สื่ออนไลน์มากยิ่งขึ้นก็เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามามากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

     

The post ทำความรู้จัก Taboola แพลตฟอร์มโฆษณาที่จะชวนให้คนทำคอนเทนต์วีดีโอให้มากขึ้น appeared first on Thumbsup.

ลำดับไทม์ไลน์ “Pornhub รักษ์สิ่งแวดล้อม” ชัดเจน 4 แคมเปญฮาร์ดเซลชวนดูวิดีโอโป๊ช่วยโลก

$
0
0

ตลอดสัปดาห์นี้หลายคนเห็นข่าว Pornhub ทำแคมเปญรักษ์โลกแบบถี่ยิบเป็นพิเศษ จนอาจสงสัยว่าเว็บไซต์รวมวิดีโอปลุกใจเสือป่าเพิ่งจะหันมาสร้างภาพสีเขียวแบบฉาบฉวยหรือเปล่า แต่ที่จริงแล้ว Pornhub ปักหลักช่วยโลกมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งหากประมวลทั้งหมด 5 ปี 4 โครงการ จะพบว่า Pornhub สามารถทำซีเอสอาร์พ่วงกับกลยุทธ์การเพิ่มยอดชมวิดีโอได้แบบเห็นผลจนนักธุรกิจหลายคนอาจยกนิ้วให้เลย

ที่ต้องยกนิ้วให้เพราะเว็บไซต์วิดีโอโป๊อย่าง Pornhub พยายามแสดงจุดยืนว่าแม้จะโป๊แต่ก็ทำเพื่อการกุศลได้ ทำให้ Pornhub ก่อตั้งส่วนงานชื่อ Pornhub Cares เพื่อต่อยอดด้านการกุศลอย่างจริงจัง โดยที่ยักษ์ใหญ่บริการสตรีมมิ่งสื่อลามกก็สามารถโปรโมทตัวเองจนเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นในแง่มุมที่ดีได้จริงและจดจำได้

แคมเปญล่าสุดของ Pornhub ที่เพิ่งเปิดตัววิดีโอประจำแคมเปญไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2019 ในชื่อ “Dirtiest Porn Ever” เป็นแคมเปญหวังกำจัดขยะชายหาดโดยที่ Pornhub จะบริจาคเงินให้กับ Ocean Polymers บริษัทด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลของอังกฤษที่เชี่ยวชาญเรื่องการรวบรวมและแปรรูปพลาสติกจากมหาสมุทรเพื่อเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดการบริจาค มีเพียงการนำ 2 นักแสดงหุ่นดีชายหญิง LeoLulu มาสร้างวิดีโอสุดสยิวความยาว 12 นาทีที่จะให้ความเสียวคู่กับความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมไปด้วย แคมเปญนี้ถือว่าต่อยอดไปมากจากปี 2014 ที่ Pornhub เริ่มทำโครงการ Pornhub Gives America Wood โดยจะปลูกต้นไม้ 1 ต้นต่อยอดชม 100 ครั้งที่มีการเปิดชมสตรีมมิ่งในวันปลูกต้นไม้แห่งชาติ Arbor Day 2014

ได้แล้ว 13,000 ต้น

ย้อนไปในปี 2014 เจ้าพ่อหนังโป๊ออนไลน์อย่างPornhub สัญญาว่าจะปลูกต้นไม้ 1 ต้นต่อการชมสตรีมมิ่งวิดีโอโป๊ 100 ครั้งในวัน Arbor Day 2014 แคมเปญนี้มีชื่อว่า “Pornhub Gives America Wood” เนื่องจากพื้นที่ปลูกต้นไม้ในโครงการนี้จะนำร่องที่สหรัฐอเมริกา

จากข้อมูลของ The Huffington Post พบว่า Pornhub จะต้องปลูกต้นไม้กว่า 13,000 ต้น คิดเป็นจำนวนการดูวิดีโอ 1.35 ล้านครั้งในเวลานั้น

Pornhub Cares รักษ์สัตว์แบบโป๊ๆ

2 ปีถัดมา Pornhub มุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือสัตว์ เช่นในปี 2016 ที่ Pornhub เปิดตัวแคมเปญเพื่อปกป้องสเปิร์มของวาฬ เวลานั้น Pornhub ขยายเพิ่มว่าจะบริจาคเงิน 1 เซ็นต์หากมีการดูวิดีโอบน Pornhub จำนวน 2,000 ครั้ง โดยเงินบริจาค 1 เซ็นต์นี้จะถูกส่งให้กับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งเน้นปกป้องวาฬ

Corey Price รองประธาน Pornhub เคยประกาศว่าบริษัทใส่ใจลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์สัตว์ป่า และเชื่อว่าด้วยฐานผู้ชมเกิน 110 ล้านคนต่อวัน จะช่วยให้ชุมชนหันมาให้ความสนใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นอกจากวาฬ Pornhub ยังทำแคมเปญรักษ์สัตว์แบบ 2 แง่ 2 ง่ามผ่านแคมเปญ Panda Style เพื่อช่วยเหลือแพนด้ายักษ์ ครั้งนั้น Pornhub ขอให้ลูกค้าร่วมสนุกด้วยการแต่งตัวเป็นหมีแพนด้าพร้อมจะผสมพันธุ์ แล้วถ่ายวิดีโอสยิวในสไตล์แพนด้า หากทำได้ Pornhub ให้คำมั่นว่าจะบริจาค 100 เหรียญต่อวิดีโอ ให้กับมูลนิธิพิทักษ์แพนด้าที่ไม่แสวงหาผลกำไร รวมถึง WWF หรือกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล World Wildlife Fund

จนเมื่อเมษายน 2019 แทนที่จะไปเน้นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธ์เหมือนเดิม Pornhub เลือกเน้นช่วยเหลือ “ผึ้ง” สิ่งมีชีวิตสำคัญในวงจรชีวิตของระบบนิเวศน์โลกที่กำลังตายเพราะมลภาวะเป็นพิษ ผ่านวิดีโอโป๊ผึ้งชื่อ #BeeSexual ซึ่งดึงดาวโป๊มาให้เสียงพากษ์ในวิดีโอพฤติกรรมผึ้งจนกลายเป็นวิดีโอโป๊ของผึ้งตัวน้อยแบบสุดสัปดน เช่นบางคลิปที่มีเนื้อหาเป็นคลิปการผสมพันธุ์ให้เสร็จใน 30 วินาที โดยทุกครั้งที่วิดีโอโป๊ผึ้ง #BeeSexual ถูกเปิดชม Pornhub ก็จะบริจาคเงินให้กับองค์กรพิพักษ์ผึ้งเช่น Operation Honey Bee และ Center for Honeybee Research

รอบนี้เน้นขยะบนหาด

สำหรับแคมเปญล่าสุด Pornhub ลงมือถ่ายทำภาพยนตร์สั้นสำหรับผู้ใหญ่ที่ชายหาดแห่งหนึ่งซึ่งได้ชื่อว่ามีขยะมากที่สุด แล้วตั้งชื่อภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ว่า Dirtiest Porn Ever ยอดชมวิดีโอนี้เองที่จะถูกแปลงเป็นเงินบริจาค เรียกความสนใจได้ถล่มทลายเพราะยอดชมคลิปตัวอย่างวิดีโอบน YouTub ทะลุหลัก 1,135,966 วิวในเวลาไม่ถึง 3 วัน ท่ามกลางเสียงชมว่าดาวโป้ของ Pornhub ยังทำประโยชน์เรื่องการกำจัดขยะได้มากกว่านักการเมืองบางคนเสียอีก

สิ่งที่เราสรุปได้จากทุกแคมเปญของ Pornhub คือบางแคมเปญสามารถประกาศศักดาให้โลกรู้ว่า Pornhub มียอดชมสูงมาก ขณะที่บางแคมเปญสามารถเพิ่มลูกเล่นคอนเทนต์ให้กับ Pornhub ได้อีกทาง ที่สำคัญคือแคมเปญเหล่านี้สร้างสีสันให้เนื้อหาของ Pornhub หลากหลายมากกว่าเดิม แถมการโปรโมทภาพลักษณ์ Pornhub เพื่อสังคม ก็ได้ผลจนชาวออนไลน์สัมผัสได้ชัดเจน และอาจทำให้ Pornhub มีลูกค้าใหม่จากทั้ง 4 แคมเปญเหล่านี้ก็ได้

ที่มา: : QZ, creative review

The post ลำดับไทม์ไลน์ “Pornhub รักษ์สิ่งแวดล้อม” ชัดเจน 4 แคมเปญฮาร์ดเซลชวนดูวิดีโอโป๊ช่วยโลก appeared first on Thumbsup.

5 คำทรงพลัง สะกดลูกค้าให้ซื้อสินค้าได้ในทันที

$
0
0

งานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์หลายชิ้นพิสูจน์ตรงกันว่าคำพูด (words) ของมนุษย์มีพลังอำนาจกำหนดจิตใจของเราอย่างคาดไม่ถึง คนไข้รู้สึกดีขึ้นทันทีเมื่อคุณหมอพูดว่า “ไม่เป็นไร คุณจะหาย” ญาติโยมมีความสุขเมื่อพระสงฆ์อวยพร “มั่งมีศรีสุขนะโยม” ลูกๆ แฮปปี้เมื่อพ่อแม่อวยพร “คิดสิ่งใดสมปรารถนานะลูก”

คำบางคำพูดแล้วสร้างแต่ความเจ็บปวด

คำบางคำพูดแล้วชุบชูใจ

และสำหรับนักการตลาด คำบางคำพูดแล้วสะกดจิตสะกดใจ ร่ายมนต์ให้ลูกค้าซื้อสินค้าคุณตอนนี้ เดี๋ยวนี้!

เราเรียกคำเหล่านี้ว่า power word หรือคำที่ส่งผลทางจิตวิทยาต่ออารมณ์และจิตใจของผู้ฟัง/อ่านโดยไม่ตัว วันนี้ผมรวบรวม 10 power words ที่คุณควรเขียนลงในก็อปปี้โฆษณาครั้งต่อไป เพื่อให้โพสต์ของคุณจะดึงดูดสายตา ฉุดขาลูกค้าเอาไว้ แล้วสร้างยอดขายให้กับธุรกิจ

#1. คุณ คุณ และคุณ

คำว่า “คุณ” สั้นๆ ง่ายๆ คำนี้มีพลังทำลายล้างสูงมากในสายโฆษณา Gary Halbert นักเขียนก็อปปี้ระดับตำนานชอบเขียนคำนี้มากเพราะเขาบอกว่า “คุณ” ทำให้ลูกค้าต้องหยุดชะงักอ่าน “คุณ” ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าโฆษณานี้เขียนมาเพื่อพวกเขา และ “คุณ” เปลี่ยนตักอักษรนิ่งๆ ให้กลายเป็นบทสนทนาที่ออกรส

#2. ไว้ใจเรา

มนุษย์เราใฝ่หาความไว้วางใจเป็นที่สุด เรากล้าฝากเงินในธนาคารเพราะเรา “ไว้ใจ” ว่าธนาคารจะไม่โกงเงินเรา เรายอมจ่ายเงินแพงหูฉี่ให้อาหารมิชลินเพราะ “ไว้ใจ” ว่าพวกเขาจะเสิร์ฟอาหารที่ดีที่สุดให้เรา

กลับกัน ลูกค้าจะไม่มีวันจ่ายตังค์สักบาทนึงให้หากเขาไม่เชื่อถือคุณเลย

ดังนั้น อย่าลืมเขียนเหตุผลว่าทำไมลูกค้าจึงเชื่อเราได้ และเขียนคำว่า “ไว้ใจ” หรือคำใกล้เคียงอื่นๆ ไว้ในประโยคด้วยล่ะ

#3. ค้นพบ

ลองเรียกคนมา 10 คนแล้วลองถามพวกเขาว่ารู้สึกอย่างไรกับงานที่ทำอยู่หรือชีวิตที่เป็น เชื่อขนมกินได้เลยครับว่าเกิน 8 ใน 10 ต้องตอบว่า “น่าเบื่อ” หรือ “เรื่อยๆ”…

เพราะอะไรครับ? ก็เพราะชีวิตประจำวันของเราถูกทำให้เป็นเรื่องน่าเบื่อ ต้องผจญกับมากคนมากความที่บริษัท เดินทางกลับบ้านต้องผจญกับรถติด ฝนตกน้ำท่วม ถึงบ้านแล้วยังผจญกับเสียงจู้จี้ขี้บ่นอีก ไม่แปลกเลยที่มนุษย์จะต้องการ “ค้นพบ” ประสบการณ์ใหม่ “ค้นพบ” ความสุขที่แสนหวานยิ่งกว่าที่เป็น “ค้นพบ”

คำว่า “ค้นพบ” ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าพวกเขาคือนักสำรวจที่กำลังทำภารกิจกู้โลกอยู่ กำลังตามหาสมบัติลับแห่งป่าอะเมซอน รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็อ่านข้อความทั้งหมดของคุณไปเรียบร้อยแล้ว

#4. ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เฉพาะตอนนี้!

คุณอาจเบื่อคำนี้เพราะเห็นมันเกลื่อนกลานบนแอดโฆษณาต่างๆ แต่เชื่อไหมว่าคำนี้ classic มาก ทรงอำนาจมาก และส่งผลตรงไปยังสมองของผู้อ่านโดยตรง

ลึกๆ แล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบการรอคอย เราคลิกสั่งสินค้าและอยากให้มันมาเกยหน้าบ้านเดี๋ยวนี้จึงเกิดบริการขนส่งภายในวันเดียว เราสั่งอาหารและอยากกินเดี๋ยวนี้ทำให้เกิด fast food หรือ “อาหารแ-กด่วน” ขึ้นมา

ดังนั้น หากมั่นใจว่าคุณสามารถสร้างประสบการณ์ “เดี๋ยวนี้” ให้แก่ลูกค้าได้ รีบใส่คำนี้ลงไปเพราะลูกค้าก็จะกดซื้อสินค้าคุณ “เดี๋ยวนี้” เหมือนกัน

#5. ความลับ

ครั้งล่าสุดคุณบอก “ความลับ” กับใครบ้างครับ

ไม่ง่ายเลยที่มนุษย์จะเม้าส์เรื่องลับๆ กันเพราะ “ความลับ” เป็นสิ่งที่เราจะคุยต่อเมื่อสนิทกับคนๆ นั้นขั้นสุด “ความลับ” เป็นสิ่งหวงห้าม เป็นเรื่องต้องปกปิด หากถูกแพร่งพรายออกไปทั้งคนพูดคนฟังอาจจะเดือดร้อนได้ แต่ทำไม๊ทำไม มนุษย์กลับกระหายอยากรู้ความลับของชาวบ้านเสียเหลือเกิน…

จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมเมื่อนักการตลาดบอก “ความลับ” ลูกค้าถึงเผลอตัวตั้งใจฟังไปซะทุกที เราได้ยินเสมอว่านักการตลาดที่เก่งมักบอกคุณว่า “ผมมีความลับจะบอกครับ คือดีลนี้ปกติเราไม่เคยให้ใครเลยแต่ผมขอผู้จัดการให้พี่คนเดียวเลย ถือเป็นความลับของเราสองคนนะครับ ราคานี้ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด” หรือนักเขียนเก่งๆ ก็มักเขียนคำว่า “เคล็ดลับเรียนอย่างไรให้จบไว”

หากผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณมี “ความลับ” “เคล็ดลับ” “ศาสตร์ลับ” “ตำรับลับ” ฯลฯ อยู่ในเรื่องเล่าแล้วล่ะก็ อย่าลืมเขียนมันลงในแอดของคุณนะครับ

ถึงแม้เราจะแนะนำให้คุณใส่ 5 power words เหล่านี้ลงในแอดหรือโพสต์ของคุณ แต่ต้องอย่าลืมว่าโฆษณาที่ดียังต้องมีความกลมกล่อม อ่านแล้วลื่นไหล เข้าใจง่ายด้วย ถ้าเอาแต่ถมคำเหล่านี้ลงไป ก็ต้องระวังว่ามันจะกลายเป็นงานที่อ่านไม่รู้เรื่องนะครับ 

The post 5 คำทรงพลัง สะกดลูกค้าให้ซื้อสินค้าได้ในทันที appeared first on Thumbsup.

8 สุดยอดสถิติ social media เพื่อการวางแผนกลยุทธ์ปีหน้า (อัปเดทปี 2019)

$
0
0

 

แม้จะเป็นยุคที่ดาวรุ่งอย่าง Instagram และ Twitter รวมถึงน้องใหม่อย่าง TikTok สามารถสร้างอิทธิพลในวงการโฆษณาออนไลน์มากขึ้น แต่นักการตลาดเกิน 95% ก็ยังเชื่อมั่นว่าแพลตฟอร์มที่ลงทุนแล้วคุ้มค่าที่สุดคือ Facebook นี่คือหนึ่งในข้อมูลอัปเดทล่าสุดปี 2019 ซึ่งจะเป็นแนวคิดบอกใบ้ทิศทางการตลาดบนโซเชียลที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า 2020 แน่นอน

ภาพรวมสถิติโซเชียลมีเดียในมุมมองธุรกิจขนาดย่อมนี้จากทั่วโลกเป็นการรวบรวม โดย Sharekit เรียกได้ว่าเป็นข้อมูลและสถิติที่เหมาะสำหรับนำไปวางแผนทำโซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติงในปีหน้า ซึ่งจะสะท้อนชัดเจนว่าธุรกิจควรใช้กลยุทธ์ใดกับแพลตฟอร์มใดอย่างไรในนาทีนี้และอนาคต

1. นักการตลาด B2B ประมาณ 94% แชร์เนื้อหาใน LinkedIn โดยบอกว่า 46% ของทราฟฟิกบนเว็บไซต์มาจาก LinkedIn

2. ในกลุ่มผู้ใช้ Twitter ราว 74% บอกว่าใช้แพลตฟอร์ม Twitter เพื่อรับข่าวสาร ขณะที่ 85% ของนักการตลาดเชื่อว่า Twitter สำคัญกับงานบริการลูกค้า

3. ชาว Instagram เกิน 80% ติดตามโปรไฟล์ธุรกิจอย่างน้อย 1 บริษัท

4. สถิติฐานผู้ใช้โซเชียลมีเดียล่าสุด (ข้อมูล สิงหาคม 2019) ชี้ว่า Facebook เป็นโซเชียลมีเดียรายใหญ่ที่สุด

Facebook 2,270 ล้านราย
Twitter 326 ล้านราย
Instagram 1,000 ล้านราย
LinkedIn 260 ล้านราย
Redit 330 ล้านราย
Pinterest 250 ล้านราย
YouTube 1,900 ล้านราย
Whatsapp 1,500 ล้านราย

5. นักการตลาดใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียหลายทาง ส่วนใหญ่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

47% ใช้วางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ
71% ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
64% ใช้ฟังเสียงจากผู้บริโภค
60% ใช้หา influencer

6. แง่ลบและข้อจำกัดสำคัญของโซเชียลในมุมผู้ใช้ที่นักการตลาดควรรู้ ได้แก่

ชาวเน็ต 25% ใช้โปรแกรมปิดกั้นโฆษณา
ชาวเน็ต 53% หาข้อมูลแบรนด์ไม่พบ
ชาวเน็ต 49% บอกว่าโพสต์ของแบรนด์ไม่เข้ากับความสนใจของตัวเอง

7. การมีส่วนร่วมกับแบรนด์บน Instagram ชนะเลิศทุกแพลตฟอร์ม สังเกตจากตัวเลข Brand Engagement ที่มากกว่าทุกแพลตฟอร์ม

มากกว่า Facebook 10 เท่าตัว
มากกว่า Pinterest 54 เท่าตัว
มากกว่า Twitter 84 เท่าตัว

8. เม็ดเงินในวงการ Instagram influencer ปี 2019 ทะลุ 5,670 ล้านเหรียญแล้ว และ 59% ของ influencer เชื่อว่า Instagram คือเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพที่สุด

สรุปแล้ว Facebook และ Instagram รวมกันยังคงเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในวงการโซเชียลมีเดีย กลายเป็นต้นทางและปลายทางของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตมากกว่า 42% บนแพลตฟอร์มโซเชียล

แถม 7 ใน 10 ของผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย ระบุว่าจะแนะนำสินค้าของแบรนด์นั้นให้เพื่อนหรือครอบครัวต่อด้วย รู้แบบนี้แล้วรีบวางแผนกลยุทธ์โซเชียลให้เต็มที่ได้เลย

ที่มา: : Sharekit

The post 8 สุดยอดสถิติ social media เพื่อการวางแผนกลยุทธ์ปีหน้า (อัปเดทปี 2019) appeared first on Thumbsup.

อะไรรุ่ง อะไรร่วง เปิดเทรนด์ Mobile Game Marketing 2020 (Infographic)

$
0
0

ในยุคที่ e-Sport ร้อนแรง แนวโน้มตลาดโมบายเกมทวีความน่าสนใจยิ่งขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมคอเกมทั่วโลก สำหรับปี 2020 ที่กำลังจะถึงนี้ ข้อมูลมากมายชี้ว่าปีหน้าจะเป็นปีที่อุตสาหกรรมเกมดิจิทัลบนมือถือจะเติบโตขึ้นในอัตราที่ชัดเจน

1. สถิติปัจจุบัน : โมบายเกมครองรายได้เกินครึ่งในอุตสาหกรรมเกม

เกมมือถือ – 51%
เกมคอนโซล – 25%
เกมพีซี – 24%

2. แนวโน้มการเติบโตใน 2-3 ปีข้างหน้า : ตลาดเกมมือถือทั่วโลกในปี 2019 จะมีมูลค่าตลาด 151,900 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะถึง 165,900 ล้านเหรียญในปี 2020

ส่วนแบ่งรายรับตลาดเกมมือถือทั่วโลก
2017 – 46%
2018 – 51%
2019 – 54%
2020 – 57%
2021 – 59%

3. เทรนด์ล่าสุดในอุตสาหกรรมเกมมือถือ ได้แก่

– เกมบนคลาวด์
– เกมเสมือนจริง
– เกมข้ามแพลตฟอร์ม
– เกมที่ใช้ Blockchain
– เกมแคชชวลที่เข้มกว่าเดิม
– เกมมือถือแข่งกันได้หลายคน

4. ประเภทของเกมที่นิยม

Puzzle – 57.29%
Arcade – 55.60%
Action – 34.75%
Racing – 31.31%
Strategy – 15.79%
Adventure – 15.51%
Card – 15.44%
Board – 14.09%
Simulation – 13.72%
Word – 13.52%

 

5. Top 5 ประเทศที่มีผู้เล่นและเงินสะพัดวงการโมบายเกมมากที่สุด (หน่วย : เหรียญสหรัฐ)

สหรัฐอเมริกา
ผู้เล่น 209.5 ล้านคน
รายได้รวม 36,869 ล้าน

จีน
ผู้เล่น 586 ล้านคน
รายได้รวม 36,540 ล้าน

ญี่ปุ่น
ผู้เล่น 32.20 ล้านคน
รายได้รวม 18,952 ล้าน

สาธารณรัฐเกาหลี
ผู้เล่น 12.4 ล้านคน
รายได้รวม 6,194 ล้าน

เยอรมนี
ผู้เล่น 13.43 ล้านคน
รายได้รวม 6,012 ล้าน

6. วิธีหลักเพื่อสร้างรายได้

– โฆษณาในแอป
– โฆษณา / วิดีโอให้รางวัล
– การซื้อขายในแอป เพื่อรับไอเท็มพิเศษ เช่น เหรียญ เพชร พลังงาน เพิ่มพลัง และอื่น ๆ
– แอปเก็บค่าบริการ
– ซื้อขายตำแหน่งแสดงแบรนด์ในเกม

7. วิธีการทำโปรโมชั่นล่าสุดสำหรับเกมมือถือ

– แคมเปญลงทะเบียนล่วงหน้า
– สร้างไมโครไซต์ หรือเว็บไซต์ย่อย
– สร้างวิดีโอโปรโมท
– ทำ App Store Optimisation ให้แสดงเป็นอันดับต้นบน App Store
– Soft Launch ทดลองทำความเข้าใจกับตลาดเป้าหมาย
– Cross-Promotion จับมือกับเกมอื่นทำโปรโมชันในระยะเริ่มต้น
– การตลาดผ่านผู้มีอิทธิพล influencer
– ร่วมกับสื่ออื่น
– ทำวิดีโอโฆษณา
– การตลาดแบบดั้งเดิม (โฆษณากลางแจ้ง)
– การปรับให้เข้ากับคนท้องถิ่น
– โฆษณาบนมือถือที่วัด KPI ได้

ที่มา: : dotcominfoway

The post อะไรรุ่ง อะไรร่วง เปิดเทรนด์ Mobile Game Marketing 2020 (Infographic) appeared first on Thumbsup.

เต็มฟีดโซเชียล! นักร้อง-นางแบบ-เน็ตไอดอล แห่โชว์ “หน้ากาก”สไตล์ตัวเอง

$
0
0

ช่วงเวลาที่แผ่นดินฮ่องกงกำลังลุกเป็นไฟ แอสเซสซอรี่สำหรับผู้ประท้วงอย่าง “หน้ากาก” กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ในวงการแฟชั่น ไล่ตั้งแต่นักร้อง นางแบบ และ influencer บนโลกโซเชียลมีเดียที่พาเหรดโชว์ภาพตัวเองสวมใส่หน้ากากหลากสไตล์ ความร้อนแรงนี้ทำให้ดีไซเนอร์หลายรายเริ่มเปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มหน้ากาก ซึ่งขโมยซีนได้ดีจนทำให้เสื้อผ้าบางตัวดูด้อยไปเลยบนรันเวย์

ปรากฏการณ์หน้ากากล้นฟีดสะท้อนว่า วันนี้แอสเซสซอรี่ที่เน้นปกป้องผู้สวมอย่างหน้ากาก กำลังจะกลายเป็น “fashion statement” ซึ่งใช้เป็นเครื่องบอกตัวตนผู้สวมได้เหมือนนาฬิกาหรือกระเป๋าถือ เทรนด์นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่กำลังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้นโดยเฉพาะในเอเชีย ตั้งแต่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี ที่ต่อยอดจากการใช้หน้ากากในชีวิตประจำวันมากอยู่แล้ว

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

#中衛口罩 #炫霓紫 #怪美來襲 2019年度新色- 紫色狂潮

โพสต์ที่แชร์โดย CSD中衛 (@csdtaiwan) เมื่อ

ล่าสุดคือดีไซเนอร์จีน Masha Ma ที่ออกแบบคอลเลคชัน SS15 โดยเติมคริสตัล Swarovski ลงไปในหน้ากากแล้วจัดโชว์บน Paris Fashion Week ทำให้นักข่าวอย่าง Jeff Yang เขียนบทความจนกลายเป็นไวรัลฮิตว่าในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ประชากรเอเชียในนิวยอร์กซิตี้สวมใส่หน้ากากมากเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมลพิษบนท้องถนน ฝุ่นควันและเชื้อโรค รวมถึงการเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้หากต้องการเคลื่อนไหวทางการเมือง

กระแส #pollutionmask มา

ไม่เพียงนักร้องวง K-pop ชื่อดังที่ต้องสวมหน้ากากพรางตัวตลอดเวลา หน้ากากยังเป็นเทรนด์ที่ดารานักร้องแดนตะวันตกขานรับเทรนด์กันมากขึ้น ทั้งหมดนี้นำไปสู่การสร้างแฮชแทก #pollutionmask ซึ่ง influencer สายแฟชันใช้โปรโมทหน้ากากหลายรุ่นของบริษัทผู้ผลิตหน้ากากหลายร้อยบริษัท

แม้ว่าผู้ประท้วงในฮ่องกงจะใช้หน้ากากเป็นเครื่องปกป้องไม่ให้ใบหน้าตัวเองถูกบันทึกในกล้องวงจรปิด แต่ Maria Ahnlund ผู้จัดการฝ่ายโซเชียลของ Airinum AB บริษัทผู้ผลิตหน้ากากสัญชาติสวีเดน ยอมรับว่าวันนี้หน้ากากกลายเป็นแฟชันในกลุ่มคนดัง ทำให้บริษัทพยายามโหมกระแสเพื่อทำตลาดหน้ากากรุ่น Airinum ในเมืองใหญ่อย่าง Dubai และ Coachella

ขณะที่ Wendover Brown พันธมิตรและผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตหน้ากาก Vogmask อธิบายว่าจุดขายของหน้ากากในนาทีนี้คือการเกาะกลุ่มเซเลบฯคนดัง นักแสดง นักร้องอาชีพ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางบ่อย ทุกคนใช้หน้ากากเพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเอง ทั้งหมดนี้ทำให้การสวมใส่หน้ากากกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ

สำหรับ Vogmask ที่เปิดตัวหน้ากากเอนกประสงค์มาตั้งแต่ปี 2012 นั้นมีการทำคอนเทนต์มาร์เก็ตต่อเนื่องหลายช่องทางตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ Airinum มีการจับมือกับแบรนด์แฟชันอิตาเลียนชื่อ NemeN เปิดตัวหน้ากากใหม่ที่เน้นภาพลักษณ์ทันสมัยไม่เหมือนหน้ากากในโรงพยาบาล

ปูพรมทุกช่องทางโซเชียล

ภาพคนดังสวมใส่หน้ากากบนโซเชียลนั้นเห็นได้ตั้งแต่นางแบบดัง Naomi Campbell ที่โพสต์ภาพบน Twitter และช่อง YouTube ถึงกิจวัตรที่ต้องทำในทุกเที่ยวบิน ทั้งการสวมใส่หน้ากากและถุงมือเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากการไอและจามของผู้โดยสารคนก่อนหน้า อาจเป็นการ Tie-in โปรโมทสินค้าแบบได้ผลแต่ก็น่าเสียดายที่หน้ากากของเธอเป็นสีขาวเรียบร้อยไม่มีลูกเล่น ต่างจากนักร้องดัง Ariana Grande ที่โพสต์ภาพเธอยืนบนถนนแห่งหนึ่งในนิวยอร์กพร้อมกับหน้ากากสุดชิครูปหยดน้ำตา เรียกยอดไลค์ได้ถล่มทลาย

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

She looks so cute! . . . . . #arianagrandemerchandise #arianagrandeperfume #arianagrandemerch #arianagrandecollection #arianagrande #ari #ariana #ariqueen #jacket #cozy #fancy #bigcity #traveler #facemasks #blondie #likeforlikeback #followfollow

โพสต์ที่แชร์โดย Ariana Grande (@ariana_news_stuff) เมื่อ

นางแบบของ Nirvana Being ก็โพสต์ภาพตัวเองกับหน้ากากลุคเข้ม สวยงามเข้ากับเสื้อผ้าหน้าผมแบบเป๊ะทุกมุม

กระแสโซเชียลเหล่านี้ถือเป็นคลื่นอีกระลอกหลังจากที่เรื่องราวของหน้ากากกลายเป็นข่าวที่คนพูดถึง โดยช่วงปี 2014 แบรนด์จีน QIAODAN Yin Peng Sports Wear Collection เปิดตัวหน้ากากของตัวเองกลางงาน China Fashion Week ปี 2014 จนสื่อมวลชนทั่วโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ: SCMP

The post เต็มฟีดโซเชียล! นักร้อง-นางแบบ-เน็ตไอดอล แห่โชว์ “หน้ากาก” สไตล์ตัวเอง appeared first on Thumbsup.


ทำยังไงให้โพสต์ Ad ผ่าน กับเคล็ดลับที่น่าสนใจของ Facebook

$
0
0

อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับนักการตลาดที่คุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือบูสต์โพสต์ของ Facebook แต่ครั้งนี้ เรามีคำตอบที่น่าสนใจกับคำถามที่น่าสงสัยมากมายในการทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มชื่อดังนี้ กับนายเจมส์ ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Facebook จะมาอธิบายเคล็ดลับและเครื่องมือการทำงานว่าจะบูสต์โพสต์ยังไงให้ผ่าน และให้คนเห็นเนื้อหาของเรามากขึ้น รวมทั้งยืนยันว่าไม่มีการแอบฟังเสียงอย่างแน่นอน

ปั้นโฆษณาบน Facebook ให้ปัง

การขึ้นโฆษณาบน Facebook นั้น ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ การสร้างสรรค์โฆษณา ขั้นตอนการตรวจสอบ การเผยแพร่โฆษณาและรายงานสรุปผล ด้วยจำนวนผู้ใช้งานเฟสบุคที่เป็นยอดแอคทีฟสูงถึง 2,300 ล้านคนทั่วโลก/เดือน รวมทั้ง Instagram ที่มีผู้ใช้งานแอคทีฟเดือนละกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลก

ดังนั้น จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์โฆษณานั้น นักการตลาดจะต้องรู้จักการวางแผนให้ดี เพราะรูปแบบการทำคอนเทนต์หรือโฆษณาแต่ละครั้งนั้นใช่ว่าจะตรงใจกับผู้รับสารทุกครั้ง การมี “งบ” มากๆ ก็ใช่ว่าคนเห็นแล้วจะคลิกหรือเกิดยอดขายสูงทุกครั้งไป

คุณเจมส์ แนะนำว่า ด้วยระบบของ Facebook เราเน้นประสบการณ์และความพึงพอใจของผู้ใช้งานเป็นหลัก (People First) ดังนั้นหากโฆษณาหรือแคมเปญนั้น ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานการบูสต์โพสต์ชิ้นงานนั้นก็ไม่ใช่จะประสบความสำเร็จเสมอไป ดังนั้น เราจึงมีขั้นตอนที่เรียกว่า Total Bid ขึ้นมา ช่วยนักการตลาดให้วางแผนทำโฆษณาก่อนเริ่มการโปรโมท

วิธีการของ Total Bid นั้น นักการตลาดจะต้องกำหนด “งบประมาณ” ในแคมเปญนั้นๆ ให้สอดคล้องกับระยะเวลาก่อน ว่าจะใช้งบกับแคมเปญนี้เท่าไหร่ ระยะเวลานานแค่ไหน ซึ่งไม่ควรมองแค่การโปรโมทครั้งเดียวและจบ แต่ควรกระจายให้การโปรโมทเป็นอย่างสม่ำเสมอ เช่น ระยะเวลาแคมเปญอยู่ที่ 6 เดือน งบประมาณก้อนแรก 10,000 บาท ในระยะเวลา 1 เดือน จากนั้นเว้นวรรค 1 เดือนเพื่อรอผลตอบกลับ ก่อนจะใช้งบประมาณก้อนที่สองกับการโปรโมทในเดือนที่ 3 เป็นต้น

จากนั้น ต้อง “กำหนดกลุ่มเป้าหมาย” ที่จะมองเห็นโฆษณาของเราให้ชัด และต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่แบรนด์ต้องการ เช่น เพศหญิง อายุ 18-24 ปี ชอบแต่งหน้า อาศัยอยู่ในกรุงเทพ อาชีพนักเรียนนักศึกษา เป็นต้น เพราะการกำหนด Target ที่ชัดเจนนั้น จะมีโอกาสที่ยอดคลิก (Conversion Rate) สูงกว่า การกำหนดเป้าหมายแบบหว่านและไม่เจาะจง รวมทั้งคนที่ไม่ต้องการรับสร้างนั้นอาจมองว่าเป็นการรบกวนและกดปิดการรับโฆษณาของเราด้วย

สุดท้าย คือ “มอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งานหรือไม่” ด้วยกฏเกณฑ์ในความเป็น People First ของ Facebook หากผู้ใช้งานรู้สึกว่าโฆษณาชิ้นนั้นรบกวนหรือกระทบต่อความรู้สึกในการใช้งาน Facebook จะอนุญาติให้ผู้ใช้แจ้งปัญหาเข้ามาเพื่อไม่ให้การแสดงผลนั้นรบกวนการใช้งานนั่นเอง

ดังนั้น เคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้โฆษณาชิ้นนั้นประสบความสำเร็จ มี 3 แกน คือ

  • อย่าหลุดวัตถุประสงค์ของแคมเปญ : เพราะการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนทำให้การทำงานสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่แบรนด์ต้องการ
  • รู้จักเครื่องมือให้ชัด : Facebook มี AI ในการช่วยตรวจจับความพึงพอใจและการตอบสนองของผู้ใช้งานเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมเพื่อให้การทำโฆษณานั้นเกิดประสิทธิภาพที่ชัดเจน โดยระบบ Matchine Learning จะประเมินผลว่าโฆษณาในแต่ละชิ้นนั้น กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ดีและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ เช่น การทำกราฟิกในภาพ ไม่ควรมี Text มากกว่า 20% ของพื้นที่ในภาพ เป็นต้น
  • ไม่ใช่แค่เห็นโฆษณาและจบ : การวัดผลโฆษณานั้น ไม่ควรเป็นแค่การมองเห็น แต่ควรเป็นการรับรู้ถึงสารนั้นว่าต้องการสื่อเรื่องใด จนเกิดโอกาสในการสั่งซื้อ หรือคลิกเข้าไปดูรายละเอียด จนถึงการแชร์ให้กับคนในสังคมรับทราบ ถึงจะเรียกว่าเป็นการโฆษณาที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น นักการตลาดต้องชัดเจน รู้ว่าควรใส่ข้อมูลอะไร เนื้อหาตรงไหนที่จะเชื่อมกับผู้ใช้งานได้ ถึงจะเรียกว่าเป็นการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ ทีม Facebook ยังแนะนำให้มีการดาวน์โหลดเครื่องมือแยกที่ชื่อว่า Facebook Adverts Manager ติดเครื่องไว้ เพราะจะช่วยวิเคราะห์ผลและกำหนดเป้าหมายต่างๆ ได้ดีกว่า การรอดูผลจากเครื่องมืออื่นๆ ถึงแม้ว่าจะมีการสรุปผลให้แก่ทางนักการตลาดอยู่แล้ว แต่บางครั้งการเลือก-เปลี่ยนข้อมูลเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านทางมือถือ อาจทำงานได้เร็วกว่า

นอกจากนี้ จำนวนความนิยมการใช้งาน Stories ทั้งบน Facebook และ Instagram ของผู้ใช้งานทั่วโลกนั้นสูงถึง 500 ล้านเรื่องราวในแต่ละวัน ดังนั้น นักการตลาดไม่ควรมองข้ามการวางกลยุทธ์โฆษณาผ่านช่องทางนี้

ทั้งนี้ Facebook ยังคงยืนยันว่าไม่มีการแอบฟังเรื่องราวใดๆ ของผู้ใช้งาน แต่การที่ผู้ใช้งานเห็นโฆษณาปรากฏขึ้น หลังจากที่มีการเอ่ยถึงสิ่งนั้นๆ เป็นเพราะมีการค้นหาข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ เพราะทางเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราค้นหาผ่าน Google หรือเว็บไซต์ต่างๆ นั้น มีการเชื่อมระบบหลังบ้านไว้ว่าอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลการค้นหา

ลองสังเกตว่าหากเว็บไซต์ใดสามารถแชร์คอนเทนต์ผ่านโซเชียลมีเดียได้ นั่นหมายความว่าหากคุณค้นหาและเจอเว็บไซต์เหล่านั้น Facebook จะมีถังข้อมูลแล้วว่ามีการค้นหา ทำให้แบรนด์ที่กำลังทำโฆษณาหรือแคมเปญกับเรา จะแสดงผลขึ้นไปให้บัญชีผู้ใช้งานนั้นๆ ได้เห็น แต่หากต้องการปิดไม่ให้เข้าถึงข้อมูลหรือแสดงเนื้อหา สามารถเข้าไปปิดการเข้าถึงข้อมูลได้เช่นกัน

ยิ่งการสอบถามก่อนตัดสินใจซื้อของผู้ใช้งานมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น แบรนด์ต้องเตรียมช่องทางทุกอย่างให้พร้อมก่อนปล่อยโฆษณาออกไป เพื่อไม่ให้ผู้ที่สนใจสั่งซื้อเลิกสนใจและติดตามแบรนด์ของคุณ

การทำโฆษณาบนเฟสบุคไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากศึกษาให้พร้อมและเตรียมวัตถุประสงค์ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ

The post ทำยังไงให้โพสต์ Ad ผ่าน กับเคล็ดลับที่น่าสนใจของ Facebook appeared first on Thumbsup.

สื่อโฆษณาดิจิทัล Out of home มาแรง! Plan B มองข้ามช็อต เน้น Engagement Marketing ร่วมด้วย

$
0
0

แม้สื่อโฆษณาออฟไลน์บางตัวจะได้รับความนิยมน้อยลงไป แต่อีกสื่อโฆษณาที่ได้รับความนิยม ก็คือสื่อโฆษณาดิจิทัลแบบ Out of home ที่เราจะเห็นว่ามีอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยสื่อโฆษณารูปแบบดังกล่าวมีการผสานเอาข้อดีของฝั่งออฟไลน์และฝั่งออนไลน์เข้ากันอย่างลงตัว

เราได้พูดคุยกับ ‘วัชรพงศ์ ลีโทชวลิต’ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ของบริษัท Plan B Media เพื่อทำความรู้สึกกับประเภทสื่อโฆษณาที่ Plan B ให้บริการอยู่ด้วยกัน 7 ประเภท ปัจจุบันโดยสื่อ Out of home ได้รับความสนใจจากนักการตลาดเพราะสามารถเพิ่มลูกเล่นให้แคมเปญได้หลากหลาย

นอกจากนี้ Plan B ยังมองข้ามช็อตไปยัง “ธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม” หรือ “Engagement Marketing” โดยนำเอาคอนเทนต์ประเภทต่างๆ (เช่น กีฬา, ดนตรี, เกม หรือ eSports) ช่วยทำให้เราเข้าถึงลูกค้าและวางแผนการตลาดได้ดีขึ้น

ส่วนรายละเอียดของ “สื่อโฆษณาดิจิทัลแบบ Out of home” และ “ธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม” จะมีความสนใจขนาดไหน ติดตามได้จากคลิปสัมภาษณ์นี้เลยครับ

Plan B ให้บริการสื่อโฆษณาอะไรบ้าง

วัชรพงศ์ เริ่มเล่าเกี่ยวกับ Plan B ว่า เป็นผู้ให้บริการสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยที่มีความหลากหลายที่สุด เพราะสื่อของ Plan B ตอนนี้มีอยู่รอบๆ ตัวเรา นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวออกจากบ้าน โดยเรามีสื่อทั้งหมด 7 ประเภท

1. สื่อ Transit

เป็นสื่อที่อยู่กับชีวิตประจำวันเวลาเดินทาง สื่อบนรถเมล์ที่เป็น Sticker รวมทั้งจอ LED ในรถเมล์ สื่อในรถไฟฟ้าใต้ดิน ในขบวนรถและในสถานี

2. สื่อภาพนิ่ง

สื่อที่อยู่กับเราตลอดเวลา ป้ายทั่วๆ ไปตามทางเท้าหรือบิลบอร์ดเล็ก-ใหญ่ ซึ่งเรามีอยู่ทั่วประเทศกว่า 1,000 ชิ้น

3. สื่อดิจิทัล Out of home

เรียกง่ายๆ ว่าเป็นสื่อจอ LED ดิจิทัล เรามีอยู่ประมาณ 450 ป้ายดิจิทัลบิดบอร์ดทั่วกรุงเทพ สื่อประเภทนี้เราเป็นผู้ให้บริการอันดับหนึ่งของประเทศไทย สื่อตัวนี้จะน่าสนใจสำหรับนักการตลาด เพราะสามารถเพิ่มลูกเล่นให้แคมเปญโฆษณาให้ไม่จืดชืดเหมือนสื่อ Static ที่อยู่บนบิลบอร์ดมาตลอด 20-30 ปีแล้ว

ซึ่งสื่อ Out of home นี้เติบโตเร็วมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเทรนด์ของคนในปัจจุบัน เช่น จำนวนคนในครอบครัวที่เล็กลง, บ้านที่อยู่อาศัยที่ย้ายมาอยู่ในคอนโด หรือชีวิตที่อยู่ในเมืองมากขึ้น แต่ละคนก็จะใช้ชีวิตที่ออกมาอยู่นอกบ้านมากขึ้น ไม่ว่าจะกินข้าวนอกบ้าน ดูหนัง ท่องเที่ยว ในแต่ละวันจะใช้ชีวิตนอกบ้านมากกว่า 10 ชั่วโมง อีกทั้ว กทม. ก็ติดอันดับรถติดที่สุดในโลก ทำให้มีการใช้ชีวิตบนถนนเป็นเวลานาน

ซึ่งสื่อของ Plan B ก็ตอบโจทย์แบรนด์ เพราะสื่อเราเข้าถึงจุดที่รถติดต่างๆ บริเวณแลนด์มาร์กของ กทม. ทำให้รายได้ Plan B เติบโตขึ้นถึง 4,000 ล้านบาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การเติบโตอยู่ในระดับ 5-10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

4. สื่อ Retail

ไม่ว่าเราจะช้อปปิ้งที่ไหน เรามีสื่อโฆษณา Retail ที่ให้บริการอยู่ในห้างสรรพสินค้าทั่วกรุงเทพด้วย และเรายังมีจอ LED ดิจิทัลให้บริการในห้างบิ๊กซีทั่วประเทศอีกด้วย

5. สื่อ Airport

มีสื่อโฆษณาให้บริการ 24 สนามบินทั่วประเทศ ถือว่าเป็นบริษัทสื่อที่ให้บริการทั่วสนามบินได้กว้างและครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทย ทั้งในสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และทั่วประเทศ

6. สื่อออนไลน์

ถือเป็นเป็นหนึ่งในสื่อที่เติบโตสูงที่สุด เพราะคนในยุคที่จะอยู่กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ค่อนข้างเยอะ เราก็มีให้บริการสื่อโฆษณาทั้งในตัว Bus wifi และแอปพลิเคชั่นที่ให้เราตรวจสอบว่ารถประจำทางที่เราจะใช้บริการอยู่ที่ไหน อีกกี่นาทีจะถึงป้ายรถเมล์

7. ธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม

“ธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม” หรือ “Engagement Marketing” จริงๆ คือการที่เราเอาคอนเทนต์ประเภทต่างๆ ที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ด้านกีฬา, ดนตรี, เกมหรือ eSports

ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้า และวางแผนการตลาดได้ดีขึ้น เพราะมีการนำคอนเทนต์ต่างๆ มาช่วยให้ลูกค้าสามารถคิดและสร้าง Marketing Campaign ได้ง่ายขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้าถึง Engagement Level ใน Marketing Funnel ได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งคอนเทนต์ตัวหลักๆ ที่ Plan B ดูแลอยู่ตอนนี้คือ

  • คอนเทนต์กีฬา เราดูแลสิทธิ์การตลาดทั้งหมดของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ทั้งตัวไทยลีคแล้วก็ตัวทีมชาติไทยทุกประเภท นอกจากนี้คอนเทนต์กีฬาตัวล่าสุดที่ตื่นเต้นที่สุดของเราปีนี้และปีหน้าคือ เราได้ดูแลสิทธิ์ของโอลิมปิก 2020 จัดขึ้นที่โตเกียวปีหน้า พร้อมกันนี้จะมีการจัดโปรแกรม Olympic เพื่อให้ประชาชนชาวไทยร่วมเชียร์ส่งแรงใจให้ทีมชาติไทยล่วงหน้าก่อนที่จะไปแข่ง
  • คอนเทนต์เกมและ eSports โดยได้จัดแข่งขัน Thai E-League Pro ซึ่งเป็นลีกการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตระดับอาชีพอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้รับความร่วมมือระหว่างสมาคมฟุตบอลฯ และ Konami ผู้พัฒนาเกมชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้พัฒนาเกม Pro Evolution Soccer 2019 (PES2019)
  • คอนเทนต์ดนตรี นำข้อมูลจากวงดนตรีมาผูกมาร้อยเรียงกับสตอรี่ของการตลาด ทำให้กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคมีความชื่นชอบในสินค้ามากขึ้น อย่างตัว Music Marketing ก็มีการขยายอย่างต่อเนื่อง โดย Plan B ดูแลวงดนตรีไอดอล BNK48 หลังจากเริ่มลงทุนไปตั้งแต่ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มและขยายคอนเทนต์แต่ละประเภทออกไปเข้าถึงคนทุกๆ กลุ่มในอนาคต เพราะคอนเทนต์แต่ละประเภทจะเข้าถึงกลุ่มคนที่มี Target แตกต่างกันไป ทางวัชรพงศ์มองว่า การขยายดังกล่าวจะช่วยแบรนด์ให้ต่างๆ ทำแคมเปญการตลาดได้ดียิ่งขึ้น

“ถึงแม้เราจะพูดมาตลอดว่าเราเป็นบริษัทสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย แต่จริงๆ แล้วเราได้ขยายไปยังตัว Engagement Marketing การตลาดแบบมีส่วนร่วม จริงๆตอนนี้เราอยากให้นึกถึงเราในฐานะที่เป็น Marketing Solution Partner เพราะเราไม่ได้เป็นผู้ให้บริการเป็นเพียงช่องทางสื่อสารทางการตลาดจากแบรนด์ไปยังผู้บริโภคอีกต่อไป”

ทำไมสื่อ Out of home ถึงเป็นที่โด่งดังและน่าจับตามองในช่วงปีหลังมานี้?

จริงๆ ทั้ง สื่อดิจิทัล Out of home และ สื่อออนไลน์ ทั้งสองสื่อนี้เติบโตคู่กันมาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ละสื่อมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป จุดอ่อนของ Out of home ในปัจจุบันอยู่ที่ตัว Measurement (การวัดผล) ที่เราใช้จะยังเป็น Public Information เช่น สื่อในห้างสรรพสินค้ามีจำนวนคนเดินห้างกี่คน สื่อดิจิทัลบิลบอร์ดว่ามีจำนวนรถที่ผ่านกี่คัน คนที่ผ่านกี่คนต่อวัน เป็นต้น

โดยเสน่ห์หลักๆ ของสื่อ Out of home มีอยู่ 3 ข้อ คือ

1. สามารถพบเห็นได้จริง

เพราะเป็นสื่อที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้บริโภคหรือลูกค้าทุกวัน โดยมีเสน่ห์ในตัวมันเองที่สามารถมีลูกเล่นคล้ายคลึงกับสื่อออนไลน์เลยแต่อยู่ในสภาวะแวดล้อมจริง ถ้าเทียบกับบิลบอร์ด ที่เราเห็นมาตลอด 30 ปี

“ลองนึกถึงบิลบอร์ดใหญ่ ขนาด 300 เมตร ปริ้นทีกว่าจะเทสปรู๊ฟ ส่งไปส่งมา กว่าจะปริ้นจริงหรือเอาขึ้นบอร์ดก็เป็นเวลาหลายอาทิตย์ แล้วเรื่องของตัวค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่หลักแสน เพราะฉะนั้นนอกจากเรื่องเวลาและเรื่องของงบต้นทุนแล้ว ที่เข้ามาช่วยแบรนด์ลดค่าใช้จ่าย ก็เป็นจุดแข็งหลักๆ ของสื่อดิจิทัล Out of home ที่ทำให้มันเติบโตได้อย่างรวดเร็ว”

ในขณะที่สื่อออนไลน์ที่เรียกได้ว่ามีการวัดผลที่แข็งแรง แพลทฟอร์มออนไลน์สามารถบอกได้เลยว่ามี ยอดวิวกี่คน กดไลก์กี่คน คลิกกี่คน แต่ยังเป็นปัญหาเสมอเกี่ยวกับ Fake User หรือปัญหาเกี่ยวกับ Bot ที่ก่อให้เกิด Report ปลอม แม้แต่แบรนด์ใหญ่ๆ ก็ยังหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะฉะนั้นการโฆษณาของเราจะตอบโจทย์มากขึ้นเมื่อใช้สื่อทั้งสองตัวเข้ามาผสมกัน เพื่อให้เกิดเป็น Perfect Communication

2. ความว่องไว

ไม่ว่าทางแบรนด์คิดแคมเปญอะไรต่างๆ มันสามรถตอบโจทย์ได้อย่างว่องไว เนื่องจากเป็นดิจิทัล และควบคุมจากศูนย์กลางเลย ถ้าแบรนด์อยากเปลี่ยนแปลงโปรโมชั่นก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

3. Coverage

หรือการมีความสามารถในการครอบคลุม (Coverage) เพื่อเข้าถึงคนได้จำนวนมาก ซึ่งสื่อประเภททีวี วิทยุ หรืออนไลน์ ก็ไม่สามารถทำให้ครอบคลุมแบบนี้ได้ โดยปัจจุบัน Plan B และ partner ของสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยชั้นนำของประเทศไทยในปัจจุบัน เราได้นำเสนอสื่อตัวแพคเกจใหม่ของเรา แคมเปญนี้ชื่อ Bangkok Takeover

โดย Bangkok Takeover คือการรวมสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยทุก Platform ทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคทั้ง กทม. ได้ 100% เมื่อผู้บริโภคก้าวออกจากบ้าน จากที่ทำงาน จะต้องพบเห็นโฆษณาของเราในช่วงเวลา 18.00-19.00 น. ไม่ว่าที่ใดใน กทม. ไม่ว่าจะกลับบ้านด้วย BTS, MRT, รถเมล์ หรือขับรถกลับบ้าน ก็จะเห็นแคมเปญของเราที่เข้าถึงกลุ่ม target

เพราะช่วงเวลา 18.00-19.00 น. นั้นเหมาะมากในการเปิดตัวสินค้าใหม่ สมมติมีโทรศัพท์มือถือแบรนด์หนึ่งต้องการเปิดตัว ก็สามารถปูพรมพร้อมกันทั่ว กทม. ทำให้กลายเป็น Talk of the town ได้เลย อันนี้คือเสน่ห์หลักเลยของตัวแคมเปญนี้

ใช้เทคโนโลยีอะไรทำให้ Out of home มีประสิทธิภาพมากขึ้น?

แน่นอนว่าตัวสื่อดิจิทัล Out of home ยังมีจุดอ่อนที่ตัว Measurement ซึ่งเราก็พยายามปรับปรุงตัวเทคโนโลยีจากพาร์ทเนอร์ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทใหญ่ก็มีการรวบรวม Big Data เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าของเขา ไม่ว่าลูกค้าจะสนใจอะไรก็ตาม ระบบมันก็จะ track ได้จากแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์ต่างๆ ที่เราเข้าไปเยี่ยมชมได้ในแต่ละวัน

ข้อมูลทุกอย่างเหล่านี้จะถูกเก็บไว้เป็น Mac Address ในแต่ละอุปกรณ์ ซึ่งไม่ได้เก็บเป็นชื่อ-นามสกุล แต่เก็บในกลุ่มคนที่สนใจซื้อสินค้านั้นๆ เมื่อเรารวม Data ด้วยกันกับสื่อผ่าน Partner ของเรา ก็จะสามารถเจาะจงกลุ่มได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น

ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวก็เริ่มใช้แล้วกับสื่อประเภท Retail อย่างเช่นในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ก่อนที่เขาจะซื้อสินค้า เราสามารถให้ข้อมูลได้ว่าในแต่ละวัน กลุ่มคนที่ target เข้ามาเดินเป็นใคร มีกลุ่มคนที่คุณอยากได้ไหม วันละกี่คน เดินบริเวณไหน เราก็จะรายงานกลับไปให้ลูกค้าทราบ

ป้ายโฆษณาจุดไหนที่ได้การตอบรับที่ดี?

ถ้าอย่างช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าตัวสื่อดิจิทัล Out of home ในจุดที่เป็นแลนด์มาร์กของ กทม. ที่ให้บริการก็คือที่ Central World ที่เราลงทุนไปด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดี จอ Twin Two ที่บริเวณถนนพระราม 4

โดยป้ายโฆษณา Network ที่เห็นได้จากท้องถนน ก็จะมีจำนวนแบรนด์โฆษณาที่แสดงผลมากน้อยแตกต่างกันออกไป อย่างตัว 100 จอของ Plan B ใน 1 ชั่วโมงก็จะขายอยู่ที่ 30 แบรนด์

ส่วน Network ที่เป็น Signature Screen อยู่บริเวณแลนด์มาร์ก เช่น Central World, ถนนพระราม 4 หรือ Show DC รับสินค้าได้หลากหลายสินค้า โดยจะแสดงโฆษณาสินค้าให้ target เห็น 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมง

“ซึ่งผมว่ามันไม่ได้อยู่ที่ตัวโลเคชันอย่างเดียว มันอยู่ที่นวัตกรรมที่เราใส่เข้าไปเพื่อดึงดูด target โดยในแต่ละวันจะมีโชว์ Color of Bangkok ตั้งแต่ตอนประมาณ 7 โมงเช้าและ 1 ทุ่ม เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาดู ถือเป็นการสร้าง Value ให้สื่อดังกล่าวเพิ่มขึ้นไปอีก”

ส่วนดิจิทัลบิลบอร์ดต่างๆ ของเราที่อยู่ใน กทม. ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณถนนที่มีการจราจรหนาแน่น ที่มีรถติด ตรงนั้นเหมาะที่จะทำเป็นป้ายดิจิทัล ในหนึ่งชั่วโมงจะเป็น Time Share สำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่จะหมุนเวียนกันไป 10-30 แบรนด์ เพราะกลุ่ม target จะมีเวลาที่อยู่กับบริเวณนั้นค่อนข้างนาน

สินค้าประเภทไหนชอบลงสื่อดิจิทัล Out of home?

ส่วนใหญ่ในปัจจุบันกลุ่มที่ใช้สื่อดิจิทัล Out of home ก็จะเป็นกลุ่ม “สินค้าอุปโภคบริโภค” แต่ตัวเทรนด์ในอนาคตไม่ว่ากลุ่มที่กำลังเติบโตสูงอย่าง “กลุ่มรถยนต์” อันนี้แน่นอนเพราะเป็นสื่อที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ขับขี่ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เติบโตมากที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

อีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่มความนิยมเข้ามาใช้สื่อดิจิทัล Out of home ก็คือ “Luxury Product” เพราะจริงๆ แล้วกลุ่มนี้เขาจะลงกับสื่อที่เน้นว่าแบรนด์เขาจะต้องดูดี

นอกจากนี้อีกตัวนึงที่สัดส่วนยังไม่ถึงมาก คือกลุ่มที่เป็นสตาร์ทอัพ เช่น Grab เขาชอบแคมเปญกับเรามาก เพราะเขามีบริการที่หลากหลาย อย่างเช่น Grab เขาก็สามารถซื้อสื่อทั้ง 6 ประเภทของเราหมดเลยได้ หรือแม้แต่ Netflix, Eatigo และ Startup ต่างๆ ก็สนใจลงในสื่อโฆษณาดิจิทัลนอกบ้านเช่นกัน

วางกลยุทธ์สื่อโฆษณา Out of home อย่างไรให้คนอยากหยุดดู?

คีย์หลักที่จะทำให้คนหยุดดูคือการต้องลิงก์เข้ากับเวลา, สถานที่ หรือสตอรี่ตอนนั้น ให้กลับไปสู่ Target ซึ่งแต่ละคนมีกลุ่ม Audience ที่แตกต่างกัน สามารถทำให้เราได้ขยายต่อไปในธุรกิจ Engagement Marketing ได้อีก

ปกติเวลาแบรนด์เห็นสื่อดิจิทัล Out of home ส่วนใหญ่ จะเข้าใจว่ามันเป็นเหมือนทีวี จริงๆ แล้วความต่างคือ ทีวีที่อยู่ที่บ้าน ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่กับมันนาน แต่สื่อดิจิทัล Out of home ที่เป็นป้ายต่างๆ เวลาที่จะสื่อกับกลุ่ม target เข้าใจนั้นจะค่อนข้างสั้น เช่น ในช่วงขับรถผ่าน หรือกำลังติดไฟแดง และก็ไม่ได้มีเสียงที่จะสื่อไปถึงตัวลูกค้าได้

เพราะฉะนั้นนอกจากการวางกลยุทธ์แล้ว การออกแบบสื่อโฆษณาที่ใช้ในสื่อดิจิทัล Out of home จะต้องทำให้เกิดความแตกต่างออกไป ส่วนใหญ่แต่ละลูปโฆษณาที่จะ On Air ก็จะความประมาณประมาณ 30-45 วินาที หรือ 60 วินาที

รวมถึงการวางรูปแบบการสื่อสารและข้อความในสื่อโฆษณาจะต้องสั้น กระชับ และตอกย้ำตัวแบรนด์ เพื่อให้ชื่อแบรนด์เข้าไปอยู่ในการจดจำของกลุ่ม target ตลอดเวลา ซึ่งตรงนี้จะทำให้แคมเปญมีผลลัพธ์ได้มากขึ้น

“การที่เราเอานักบอลขวัญใจของเขามาผสมผสานกันในการเล่าเรื่องแบรนด์ หรือกลุ่มนักร้อง ที่เราเป็นแฟนคลับ ภาพสื่อที่อยู่บนบิลบอร์ดดิจิทัลก็จะดึงดูดสายตาของเราเป็นอย่างแรก และเราก็จะมองต่อมาข้อความที่จะสื่อต่อมาเป็นอะไร ยิ่งถ้าข้อความนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเรา เรามีความสนใจแบรนด์นี้ สนใจสินค้าประเภทนี้อยู่แล้ว เราก็จะยิ่งมีความ Engage ที่ผูกพันธ์ยิ่งขึ้นกับแบรนด์และก็มีโอกาสที่จะซื้อสินค้าได้มากยิ่งขึ้น ผมมองว่า Engagement Marketing เป็นคีย์หลักสำคัญที่จะทำให้ข้อความในโฆษณาไม่น่าเบื่ออีกต่อไป” – วัชรพงศ์ กล่าวปิดท้าย

The post สื่อโฆษณาดิจิทัล Out of home มาแรง! Plan B มองข้ามช็อต เน้น Engagement Marketing ร่วมด้วย appeared first on Thumbsup.

Data Driven Marketing กุญแจสำคัญของการตลาดยุค “Marketing 5.0”

$
0
0

เมื่อเทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด จนทำให้พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่า รูปแบบการเติบโตเช่นนี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่สั้นลงเรื่อยๆ สังเกตได้จากแบรนด์ที่ต้องคอยปรับตัวและพยายามสื่อสารกับลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ด้วยวิธีการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การทำ Marketing 4.0 ที่เน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราควรก้าวเข้าสู่ยุค Marketing 5.0 เสียที

นายไชยณัฐ สัจจะปรเมษฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท Alchemist

Marketing 5.0 คืออะไร? คุณไชยณัฐ สัจจะปรเมษฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท Alchemist จะมาให้คำตอบเรื่องนี้กัน หากจะจำกัดความก็คือ “Age of personalized Omni-channel experiences” ซึ่งเป็นเทรนด์การตลาดแบบใหม่ที่มี Data เป็นเครื่องมือหลักอันทรงพลังในการสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจเฉพาะบุคคล และสำหรับการตลาดยุคนี้ “ข้อมูล”ก็เปรียบเสมือนบ่อน้ำมันที่รอให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีความรู้ความเข้าใจขุดเจาะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์นั่นเอง

สำหรับแบรนด์ หากสามารถนำ Data ที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้กับการทำการตลาดได้ถูกที่ถูกทาง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือความเข้าใจลูกค้าที่ไม่ได้เกิดจากการ Survey สอบถามความเห็นเท่านั้น แต่เป็น Fact ที่จับต้องได้จริงโดยมีพฤติกรรมของลูกค้าเป็นเครื่องยืนยันนั่นเอง ทั้งนี้ องค์ประกอบของการทำ Marketing 5.0 ประกอบไปด้วย 4 ส่วน

  • ส่วนแรกคือ Marketing 5.0 คือการใช้ Channel ที่หลากหลายเพื่อสื่อสารกับลูกค้า ลองนึกภาพตามว่าถ้าเราต้องการจะคุยกับคนหนึ่งคน เราสามารถพูดคุยกับเขาผ่านช่องทางใดบ้าง เช่น อีเมล SMS หรือไลน์ เมื่อนึกตามแล้ว จะพบว่าไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งหรือสองช่องทาง หรือจำกัดแค่ในออนไลน์หรืออฟไลน์เท่านั้น และในแต่ละช่องทาง เขาก็มีวิธีการตอบสนองที่แตกต่างกันไปอีกด้วย Channel จึงเป็นส่วนแรกที่แบรนด์จะต้องเข้าใจ
  • ส่วนที่สองคือ Personalized หรือ การเจาะจงเฉพาะบุคคล เพราะในยุค 5.0 รูปแบบการสื่อสารถูกพัฒนาให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น ละเอียดยิ่งขึ้น Message จากแบรนด์จึงต้องถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการหรือความชอบของคนๆ นั้น แปลว่า ถ้าต้องการสื่อสารกับคนหนึ่งล้านคน แบรนด์อาจจะต้อง Personalize Message ออกมาหนึ่งล้านรูปแบบ เพื่อให้ตรงกับความสนใจของแต่ละคน
  • ส่วนที่สามคือ Automation หมายถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาทำงานทดแทนการใช้ Man Hour (ชั่วโมงการทำงานต่อคน) เป็นจำนวนมากหรือเกินความสามารถที่มนุษย์จะทำได้ ดังเช่น การ Personalize Message ตามตัวอย่างที่กล่าวไป การออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะบุคคลและพิมพ์ข้อความ 1 ล้านรูปแบบเพื่อส่งออกไป อาจกลายเป็นต้นทุนมหาศาลทั้งด้านเวลา ราคาและทรัพยากรบุคคล หากไม่มีเครื่องมือรองรับที่ดีและมีประสิทธิภาพมากพอ ส่วนนี้คือ  Automation ที่เทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยงานของมนุษย์ให้รวดเร็วขึ้นได้
  • และส่วนสุดท้ายคือ Predictive หมายถึง การทำการตลาดที่ใช้ Intelligence เข้ามาช่วย ทำให้ไม่ใช่แค่เข้าใจลูกค้าเท่านั้น แต่ยังสามารถเรียนรู้และคาดการณ์พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ

จะเห็นว่าทั้ง 4 ส่วนดังกล่าวประกอบกันเป็น Marketing 5.0 โดยแต่ละส่วนจะเข้ามาช่วยจัดการและใช้งาน Data ที่แบรนด์มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำการตลาด (Data-Driven Marketing) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการตลาดปัจจุบันกำลังมองหาเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ความคิดสร้างสรรค์หรือการสื่อสารที่ทรงพลังก็อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป หากขาดการสร้าง Relationship ในระยะยาวกับลูกค้า การสื่อสารอาจจบในครั้งเดียว ไม่ได้เป็น Authentic Relationship หรือความสัมพันธ์เหนียวแน่นแท้จริงที่จะทำให้ลูกค้าประทับใจ เกิดความภักดีต่อแบรนด์และอยากกลับมาหาแบรนด์อีกครั้ง เพราะฉะนั้นการทำ Customer Relationship Management (CRM) จึงเป็นอีกส่วนสำคัญที่แบรนด์ควรทำควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จาก Data

Alchemist เชื่อมั่นในการทำ Data-Driven Marketing ที่สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้าได้ เราในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับ Salesforce แพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) อันดับหนึ่งของโลก จึงได้มีโอกาสนำ Tools ที่ชื่อว่า Salesforce Marketing Cloud มาใช้ในการทำ CRM ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คือการเข้ามาสร้าง Personalized Experience ระหว่างแบรนด์และลูกค้าให้มีความพิเศษและเฉพาะเจาะจงในแบบ 1:1 เพื่อให้ Message ที่ส่งออกไปตรงใจและตรงกับความต้องการของลูกค้านั่นเอง

เชื่อว่า อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า การทำ Data-Driven Marketing เป็นเพียงการนำ Tools ต่าง ๆ เข้ามาใช้ แต่จริง ๆ แล้ว หากขาดความเข้าใจและจุดมุ่งหมายของการใช้ Tools ก็อาจเป็นแค่การเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการนำ Tools มาใช้อย่างตรงจุด รู้และเข้าใจ Pain Point ว่าปัญหาคือจุดไหน และเทคโนโลยีนั้น ๆ จะเข้ามาแก้ปัญหาได้อย่างไร การมีที่ปรึกษาอย่าง Alchemist ที่จะดูแลการสื่อสารตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ เริ่มต้นตั้งแต่ Data Strategy – Creativity – Implementation และทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการทำ Marketing ยุคใหม่ให้มีประสิทธิภาพและสามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างที่แบรนด์ตั้งเป้าไว้นั่นเอง

Disclaimer : Alchemist เป็นบริษัทในเครือ Rabbit Digital Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเว็บ Thumbsup in Thailand

The post Data Driven Marketing กุญแจสำคัญของการตลาดยุค “Marketing 5.0” appeared first on Thumbsup.

12 สถิติ Video Marketing ที่ปลุกทุกคนให้ลงทุนวิดีโอ (Infographic)

$
0
0

วันนี้หลายองค์กรยังมีคำถามและรีรอที่จะลงทุนในอุปกรณ์และทีมผลิตวิดีโอ แต่ Infographic ชุดนี้จะตอบคำถามได้ด้วยสถิติที่ชี้ว่าวิดีโอมีความสำคัญต่อการสื่อสารในอนาคต ซึ่งแปลว่าทุกคนจะต้องเริ่มสร้างวิดีโอด้วยการชูจุดเด่นบางอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ตกขบวนก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป

อิทธิพลแรง

1. ดูเยอะ: 82% ของปริมาณทราฟฟิกบนโลกออนไลน์จะวิ่งไปที่วิดีโอภายในปี 2020 (ข้อมูลจาก Cisco)

2. ดูนาน: ชาวเน็ตเกือบครึ่ง 45% ใช้เวลาดูวิดีโอมากกว่า 1 ชั่วโมงบน Facebook หรือ YouTube ทุกสัปดาห์

3. ดูแล้วซื้อ: ผู้ชมวิดีโอกว่า 90% กล่าวว่า product video หรือวิดีโอเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ มีส่วนช่วยเรื่องการตัดสินใจ เมื่อต้องการซื้อสินค้าสักชิ้น

อิมแพคชัด

4. Click-Through Rate เพิ่ม: วิดีโอในอีเมล สามารถเพิ่มอัตราการคลิกหรือ Click-Through Rate ได้ 63%

5. แชร์เพียบ: วิดีโอถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียมากกว่าภาพและข้อความ (รวมกัน) 1200%

6. ยอดขายพุ่ง: ผู้บริโภค 64% มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าหลังจากดูวิดีโอเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

แบบไหนดี

7. ต้องสั้น: วิดีโอส่วนใหญ่บนโลกออนไลน์มีความยาวไม่เกิน 60 วินาที แม้ว่าแต่ละแบรนด์จะมีสถานการณ์ต่างกัน แต่เนื้อหาที่สั้นกว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม

8. ต้องเริ่มก่อนคู่แข่ง: ขณะนี้มีธุรกิจขนาดย่อมเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้วิดีโอ หมายถึงใครเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ

9. ต้องมีคำบรรยาย: โดยเฉพาะในวิดีโอบน Facebook เพราะผู้ชม Facebook ส่วนใหญ่เกิน 85% ดูวิดีโอแบบปิดเสียง

ที่นี่โดน

10. โซเชียลฮิต: วิดีโอบน Instagram มีอัตรา engagement หรือการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับเครือข่ายสังคมอื่น

11. ยิ่งสั้นยิ่งฮอต: ความยาวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับวิดีโอบน Instagram คือสั้นกว่า 30 วินาที แปลว่าแบรนด์มีเวลาประมาณ 3-5 วินาทีแรกในการดึงดูดผู้ชมให้อยู่หมัด

12. แฮปปี้วิดีโอยาว: ความยาวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับวิดีโอบน Youtube คือ 5-7 นาที เท่ากับวิดีโอยาวกว่าจะเหมาะกับ Youtube

ที่มา: : Rawshorts

The post 12 สถิติ Video Marketing ที่ปลุกทุกคนให้ลงทุนวิดีโอ (Infographic) appeared first on Thumbsup.

[สัมภาษณ์] dtac กับแนวทางการสร้างแบรนด์ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัลจนได้รับรางวัล LINE CONVERGE 2019

$
0
0

การปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลสำหรับธุรกิจโทรคมนาคมนั้น เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวและเปลี่ยนตามเทรนด์ได้เร็วมาก แม้ว่าภาพรวมของการทำงานในองค์กรจะไม่ได้รวดเร็วถึงขั้นพลิกทันที แต่ในเรื่องของงานบริการต้องตามเทรนด์ให้ทัน ทีมงาน thumbsup ได้พูดคุยกับคุณปานเทพ นิลสินธพ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริการและการขายดิจิทัล, dtac

ใช้ LINE จุดประกายการสื่อสาร

“เรามองด้วยประสบการณ์ของลูกค้าเป็นหลัก แม้ว่าเราจะมีแอปพลิเคชั่น dtac ที่ตอบโจทย์การให้บริการทุกด้าน ทั้งจองคิวที่สาขา จ่ายเงินออนไลน์เพียงไม่กี่คลิก ไปจนถึงการแลกรับสิทธิพิเศษ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าช่องทางไหนง่ายสุดสำหรับลูกค้า เราจะตามเขาไป ยิ่งโซเชียลมีเดียชื่อดัง install ไปพร้อมเครื่อง เราก็ไปตอบสนองการใช้งานทุกแอปเช่นกัน”

หากดูจากพฤติกรรมของคนที่ใช้ออนไลน์ยุคนี้ ส่วนใหญ่ใช้งานกันไม่กี่แอป แม้จะมีแอปในเครื่องสมาร์ทโฟนของเราเยอะมาก แต่หลักๆ ก็ใช้แค่ LINE, Facebook, Youtube, Google ดังนั้นเราต้องตามเขาไปให้ถึงความคุ้นชินของเขา และ User Experience ต้องไม่ต่างจากเดิมนัก

แม้ว่าเราจะมีการทำแอปพลิเคชั่น dtac และตอบโจทย์ทุกบริการของการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น เช็คยอดเงิน ยอดวัน เติมเงิน จ่ายค่าบริการ ซื้อแพคเกจ ไปจนถึงข่าวสารโปรโมชั่นและแลกรับสิทธิ์ dtac rewards ก็ยังได้ การใช้ LINE มาเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า Prepaid เพราะเขาไม่อยากดาวน์โหลดแอปบนเครื่องเยอะ หรือใช้ดาต้ามากๆ ต่างจากกลุ่ม Postpaid ที่เลือกใช้งานผ่านแอปมากกว่า

การได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี เป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพราะ SMS จะมีลิมิตในการนำเสนอข้อมูลสินค้าและบริการ ต่างจากการส่ง Broadcast ของ LINE ด้านจำนวนผู้ใช้งาน Prepaid ที่มีกว่า 16 ล้านราย คนใช้แอปของ dtac โดยตรงมีเพียง 5-6 แสนคนเท่านั้น

อีกเหตุผลหนึ่งที่คนใช้งานแอปของ dtac น้อย คือเป็นกลุ่มที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป พวกเขาไม่ถนัดการใช้งานแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ แต่ LINE เข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้ ซึ่งคนในเจเนอเรชั่นนี้ โลกของอินเทอร์ของพวกเขาคือ LINE ดังนั้นการมีบริการของ dtac บนแพลตฟอร์มของ LINE ก็น่าจะช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายขึ้น

นอกจากการให้บริการทั่วไปผ่าน LINE แล้ว การแจ้งข่าวสารได้ ผ่าน LINE OA เป็นสิ่งแรกที่เราใช้แจ้งข่าวแบบเจาะจงจริงๆ เรื่องโปรดักส์ หรือโปรโมชั่นต่างๆ ก็ควรส่งหาลูกค้าได้เฉพาะเจาะจง หรือคนที่มีความชอบเรื่องอะไรก็เจาะจงไปแบบนั้นเลย ซึ่งนั่นจะทำให้เขาสนใจเรามากกว่าการส่งข้อมูลแบบหว่านที่อาจทำให้ลูกค้าที่ไม่ตรงกับ Target ที่เราวางไว้รู้สึกรำคาญได้

ทั้งนี้ dtac ยังมีแผนเตรียมปรับปรุงเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นใหม่ให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น แม้ว่าภายในแอพเราจะมีฟีเจอร์รองรับการใช้งานครบถ้วน แต่เยอะเกินไปคนก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ หาไม่เจอ ก็เปล่าประโยชน์ ดังนั้น เราจึงเลือกดึงฟีเจอร์บางอย่างมาโปรโมทให้มากขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ดี และลดขั้นตอนการเข้าใช้งานให้ง่ายและทำได้เร็วขึ้น เช่น ถ้าลูกค้าสนใจอยากซื้อมือถือสักเครื่อง ก็เลือกกดสั่งซื้อและมารับเครื่องได้เลย การทำงานแบบนี้จะช่วยให้เชื่อมโยงการทำงานแบบ Physical กับ Digital ให้ง่ายขึ้นด้วย

“ภายในแอพก็สามารถจองคิวเข้าไปใช้บริการที่สาขาได้นะ จะได้ไม่ต้องรอนาน พอมาถึงสาขาก็เรียกคิวได้เลย แต่ลูกค้าก็ไม่ค่อยรู้ ซึ่งทีมดิจิทัลก็พยายามจะหาฟีเจอร์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ลูกค้าเป็นหลักอะไรที่ยังไม่รองรับความสะดวกสบายของลูกค้า เราก็จะพยายามทำให้มากที่สุด”

สิ่งที่เราคาดหวังจากลูกค้าในยุคนี้ไม่ใช่หวังให้เขาเข้าสู่โลกดิจิทัลแล้ว เพราะคนไทยตอนนี้ใช้งานออนไลน์กันได้เกือบหมดแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เรามองคือจะปรับตัวดิจิทัลยังไงให้ทัน ยุคนี้ไม่ใช่การทำงานแข่งกับคู่แข่งในตลาดแล้ว แต่เราต้องแข่งกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอย่าง LINE, FACEBOOK, GOOGLE ทำยังไงให้คนใช้เวลากับเราให้มากที่สุด (Timespend) สิ่งนี้คือแบรนด์ต้องการมากกว่า แต่เราก็ไม่ได้หวังแย่ง Timespend เราเลือกทำสิ่งที่เราถนัดคือการมี Interaction กับลูกค้าให้เขาสนใจและนึกถึงเราก่อน เช่น reward ที่ไปร้านไหนก็ต้องเจอสิทธิพิเศษจากเรา ใช้สิทธิ์ได้ทั้งลูกค้าพรีเพดและโพสต์เพดเลย ไม่ใช่แค่กลับมาเช็คยอดเพียงอย่างเดียว

Reward ถือว่าเป็น Engagement ที่ดีมากสำหรับเรา นอกจากนี้ก็คือการทำงานร่วมกับโปรดักส์ประเภทอื่นๆ ที่เราถนัดอย่าง รถอีวี ที่ใครๆ อาจจะมองว่าทำไม dtac ไปทำรถไฟฟ้า เพราะมันเป็นเทรนด์ในอนาคต หากลูกค้าต้องหาจุดเปลี่ยนแบต เติมแบต ที่ไม่ได้มีจุดให้บริการเยอะแบบปั๊มน้ำมัน ดังนั้น ระบบต่างๆ ในรถต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและบอกให้รู้ว่าปลั๊กชาร์จอยู่ตรงไหน ควบคุมทุกอย่างผ่านอินเทอร์เน็ตได้เลย หรืออย่าง dtac@home, Smart Farmer  ทุกอย่างที่เราทำคือพยายามที่จะอยู่ในมุมของ Connectivity ซึ่งเราก็พยายามทดลองว่าทำอะไรแล้วเวิร์ค หรือ Add Value อะไรได้บ้าง

บริการที่เราจะมีต่อเนื่องใน LINE อาจจะเป็นการขายเครื่องสมาร์ทโฟนหรือขายซิมออนไลน์แล้วมารับที่สาขาก็เป็นได้ เพราะสะดวกและตอบโจทย์คนออนไลน์ที่อยากได้เครื่องใหม่ไวๆ

 

ทำไมไม่เน้นสายคอนเทนต์แบบคู่แข่ง

“เราเชื่อว่าทุกคนหา way ของตัวเอง เราพิจารณาแล้วว่าจุดแข็งของเราคืออะไรและสร้างโปรดักส์โดยมาจากความแข็งแรงของเราได้ดีกว่า มันแตกต่างกันด้วยความสามารถของแต่ละคนมากกว่า”

คุณปานเทพ ให้เหตุผลกับทีมงาน thumbsup ได้อย่างน่าสนใจ เมื่อสอบถามถึงการไม่ทำธุรกิจไฟเบอร์หรือแอพคอนเทนต์หรือ Co-working Space อย่างที่อีกสองค่ายทำกัน เพราะคนไทยนิยมรับชมคอนเทนต์ผ่านช่องทางออนไลน์

นอกจากนี้ การลงทุนทำคอนเทนต์เองนั้น หากประสบความสำเร็จส่วนแบ่งดีก็คุ้มค่ากับที่ลงทุน แต่ถ้าไม่สำเร็จก็กลายเป็นขาดทุน ซึ่งเราไม่ได้เชี่ยวชาญในแง่ของการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ เราเข้าไปลงทุนในพาร์ทเนอร์ น่าจะเป็นแนวทางที่ดีกว่า แม้กำไรกลับคืนมาจะไม่ได้สูงนักแต่ก็ไม่ต้องแบกต้นทุนมหาศาลและยังปรับไปทำด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ในมุมของ dtac ดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของการเข้าถึงออนไลน์ แต่ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานของคนในองค์กรด้วย เปลี่ยน mindsset ในการเข้าถึงลูกค้าสิ่งที่เราพยายามทำคือเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรก่อน ปรับจูนการทำงานในองค์กรให้เป็น Agile ให้มากขึ้น

“ถ้าความเป็นคนดิจิทัลที่ dtac เราทำก่อนคนอื่นๆ อีกนะครับ ในแง่ของ Ecosystem ในการทำงาน หรือการทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ เปลี่ยนวิธีคิดให้ทันสมัยขึ้น แต่เราก็ต้องยอมรับว่ายังพยายามทำอยู่ เรื่อง Agile ไม่มีสูตรตายตัวที่องค์กรจะเดินหน้าไปด้วยกลยุทธ์นี้ แต่จะไปแบบ 360 องศาได้หรือไม่นั้นก็อยู่ที่ทุกคนร่วมมือกัน แต่จะเห็นผลได้เมื่อไหร่นั้นคงตอบยาก”

ลูกค้ายังติดภาพเน็ตไม่เสถียร

“เราคงไม่หนีจากข่าวร้าย แต่จะตอบปัญหาอย่างไรให้ดีที่สุด อย่างเรื่องคลื่นนอกจากการลงทุนในเสา ซื้อคลื่น ประมูลคลื่น เรามองความสามารถของเน็ตเวิร์คต่างออกไป ไม่ใช่แค่ดาวน์โหลด อัพโหลด การเชื่อมต่อเครือข่ายของเรากับลูกค้า เราดูเป็นจังหวัดและดีลเป็นอำเภอ จังหวัดไหนมีปัญหาจะได้ลงถูกที่ และจูนถูกที่จะได้รู้ว่าปัญหาของเขาคืออะไร เราเปลี่ยนค่อนข้างเยอะในแง่เน็ตเวิร์ค ถ้าตอบโจทย์ได้ก็จะดี ดังนั้นเราซื่อสัตย์กับการบอกและพยายาม feedback กับลูกค้า เมื่อรู้ว่าคลื่นไหนไม่ดี เราพร้อมแก้ไข ตรงไหนมีปัญหา ตอบและสื่อสารตรงๆกับลูกค้ามากขึ้นซึ่งสิ่งนี้จะเห็นว่า CEO ของเรา (คุณอเล็กซานดร้า ไรซ์) กำลังพยายามทำอย่างดีที่สุด”

 

ก่อนหน้านี้ ตอนเราทำ Youtube Hackatron เพราะอยากสื่อสารในมุมของคนที่ได้ใช้งานจริง เราเชื่อว่าลูกค้าคงไม่อยากฟังจากแบรนด์ ดังนั้น การสื่อสารผ่าน Influencer หรือ Creator ยังสำคัญ เพราะเขาช่วยเล่าเรื่องของเราในมุมที่เค้าคิดว่ามีประโยชน์ แต่ละ Youtuber มีมุมมองที่ต่างกัน แต่ก็มีในสิ่งที่เราจะต้องสื่อสารเอง เช่น Network ในวันที่มีปัญหามากที่สุดคนที่ตอบโจทย์ดีที่สุดคือ ceo และเชื่อว่าเราจะไม่หยุดแก้ไขปัญหา

แม้ว่า เราจะเห็นภาพการเปลี่ยน CEO บ่อยกว่าค่ายอื่นๆ นั่นเพราะ CEO ของเราแต่ละคนจะมีบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ลูกค้าและคนทำงานมองเห็นคือ พวกเขามีความพยายามที่มุมมองที่แตกต่างกันแต่สิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนพยายามทำให้ dtac ดีขึ้น และพยายามที่จะสื่อสารให้ลูกค้ามั่นใจว่าเครือข่ายของเรากำลังดีขึ้น ตอนมีปัญหาคือช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และขอให้มั่นใจว่า dtac จะไม่หยุดพัฒนาเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจที่สุด

การปรับตัวของธุรกิจโทรคมนาคมที่อยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากทุกคนในทีมร่วมมือกันย่อมมีโอกาสที่จะกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้อีกครั้งแน่นอน

The post [สัมภาษณ์] dtac กับแนวทางการสร้างแบรนด์ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัลจนได้รับรางวัล LINE CONVERGE 2019 appeared first on Thumbsup.

รีวิวสินค้าอย่างไร ให้ได้รับความสนใจบนแพลตฟอร์ม Twitter

$
0
0

Twitter

Twitter เป็นอีกแพลตฟอร์มที่ Micro Influencer อยู่เยอะมาก รวมถึงเป็นแหล่งแห่งการป้ายยาสินค้าชั้นดีเป็นอันดับต้นๆ นักการตลาดจึงเริ่มหันมาใช้ Twitter เป็นตัวสร้างอิมแพ็คให้กับสินค้า

ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่มักจะเป็นจำพวกสินค้า FMCG เช่น ผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ น้ำหอม ขนมขบเคี้ยวต่างๆ อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้การ Seeding กลับมาบูมอีกครั้ง แต่ก็ยังโดนจับได้เหมือนเดิม

แล้วเราต้องรีวิวสินค้าบน Twitter ยังไงล่ะ ไม่ให้ถูกจับได้ (ถ้าคิดจะ Tie in) หรือให้ได้รับความสนใจ มาดูวิธีเบื้องต้นกันค่ะ

ธรรมชาติของ Twitter

ตามธรรมชาติของ Twitter ส่วนใหญ่คนจะพูดความจริง ไม่ค่อยมีการ Tie in เท่าไหร่ และเพราะความจริงส่วนนี้นี่เองที่ทำให้นักการตลาดเริ่มกันมาเล่นแพลตฟอร์ม Twitter มากขึ้น จนตอนนี้แอคเคาท์ดังๆ หลายแอคเริ่มหันมารีวิวสินค้ากันแล้ว

แต่ก็นั่นแหละค่ะเพราะธรรมชาติของแพลตฟอร์มนี้จะค่อนข้างสมจริง การรีวิวส่วนใหญ่จึงเป็นการ Tie in ที่แทบจะไม่เนียนเท่าไหร่ ยิ่งช่วงปั่นแฮชแท็ก จะพบว่าความไม่เนียนหลายอย่างทำให้แอคนั้นหมดความเชื่อถือโดยง่ายไปเลย การรีวิวจึงควรพูดความจริง เพราะความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุดบน Twitter

 

ใช้จริงค่อยมารีวิว

อย่างแรกที่จะทำให้การรีวิวสมจริงมากที่สุด นั่นก็คือการพูดจากการใช้จริงนั่นเอง เพราะเราจะสัมผัสได้ถึงรูป รส กลิ่น เสียง หรือทุกสัมผัส ที่สินค้าชนิดนั้นมอบให้ได้ เช่น “โยเกิร์ตออกใหม่จาก Meji หอมกลิ่นองุ่นมากกกกกก หอมจนเหมือนกินองุ่นจริงๆ เลย แล้วเนื้อคือแน่นคัพถ้วยเว่อร์ เราชอบเมจิก็ตรงนี้แหละไม่ค่อยหวงของ แนะนำเลยซื้อได้ที่เซเว่นนะจ๊ะ

สังเกตว่าข้อความมีความสมจริง เพราะสิ่งที่รีวิวคือความจริงหลังจากกินมาแล้ว แต่ถ้าทำแค่อัพภาพสวยๆ บอกว่า Meji ออกรสชาติโยเกิร์ตใหม่ รสองุ่น เนื้อนุ่มวุ้นแน่นสุดๆ เนื้อวุ้นหอมอร่อยมาก หาซื้อได้ที่เซเว่นอีเลเว่น

เห็นได้ว่าภาษาในการรีวิว จะเข้าถึงความรู้สึกคนอ่านต่างกัน ฉะนั้นการได้ใช้จริงจะช่วยให้การรีวิวสมจริงมากจริง หรือจะติดแฮชแท็กสุดคลาสสิคอย่าง #รีวิวห้ามขายของโว้ยยย #รีวิวเซเว่น ก็ช่วยให้สมจริงขึ้นได้

 

อะไรไม่ใช่ก็อย่าฝืน

คำว่าฝืนนี้เรียกอีกคำว่า “แถ” นั่นเอง ถ้าใครได้ติดตาม Twitter ช่วงปั่นแฮชแท็กของแบรนด์บ่อยๆ จะพบว่ามีแอคดังๆ หลายแอคมักหาความเชื่อมโยงระหว่างสินค้ากับแฮชแท็กนั้นจนรู้สึกฝืน แอคที่เราเคยตาม เพราะชอบตัวตนของเค้ากลายเป็นมาโกหกกันซะได้

ดังกรณีที่โยเกิร์ตชื่อดังใช้ Micro Influencer แทบจะทั้งแพลตฟอร์มให้รีวิวโยเกิร์ตว่ากินกับอะไรก็อร่อย แอคนึงจึงเลือกกินโยเกิร์ตกับปูดอง เพราะช่วยตัดเลี่ยนได้ดี คำถามคือปกติคนกินโยเกิร์ตกับปูดองหรือเปล่า คำตอบคือไม่ มันคือการฝืนที่ไปด้วยกันไม่ได้ เพียงเพราะอยากสร้างจุดเด่น เลยหยิบปูดองที่ทุกคนให้ความสนใจมาบวกกับสินค้าที่ได้รับการรีวิว

ความเข้ากันไม่ได้นี้ทำให้ทวิตนี้ถูก Quote ไปกล่าวว่าเสียหายค่อนข้างเยอะ ส่งผลไม่ดีต่อแบรนด์อีก ฉะนั้นทุกอย่างควรเป็นไปตามธรรมชาติ โยเกิร์ตกินกับกล้วย เอามาทำสลัด จะดีกว่า 

 

อย่าโกหกกันเลย 

สิ่งที่โดนจับโป๊ะได้บ่อยที่สุดคือ “บังเอิญเจอ” เห็นลดราคาเลยซื้อมา  สองคำนี้เป็นสิ่งที่ใช้กันบ่อยจนกลายเป็นไม่น่าเชื่อถือไปแล้ว ยิ่งตอนที่แบรนด์ได้ทำการโปรโมททวิตนั้น ก็ยิ่งจับได้ง่ายว่าคำว่าบังเอิญเจอไม่มีจริงไม่ เพราะแบรนด์จะโปรโมตทำไมถ้าไม่ใช่สื่อจากฝั่งตัวเอง

ฉะนั้นถือเป็นการบ้านที่แบรนด์ต้องบรีฟเหล่า Micro Influencer ใหม่ว่าให้รีวิวตามความจริงจะดีที่สุด แต่อยากให้เลี่ยงคำว่าแบรนด์ส่งมาให้อยู่ เพราะคำนี้จะถูกผ่านตาไปทันที ให้เลือกใช้ประมาณว่า ได้ลอง หรือเล่าเหตุการณ์ความรู้สึกตอนใช้เลย ไม่ต้องเกริ่นอะไรจะดีที่สุด

เช่น ลองยาสระผมสูตรใหม่เผื่อแก้ผมร่วงได้บ้าง ปรากฏหอมมากกก ผมร่วงน้อยลงเยอะแล้ว กลิ่นหอมเหมือนผมเด็กๆ เพราะมีสูตรคาโมมายด์ ไม่แรงเป็นสารเคมี ใครชอบกลิ่นเด็กๆ น่าจะชอบนะ สังเกตว่าไม่ใช้คำที่ดูฮาร์ดเซลล์ แต่ก็ยังขายของ ไม่จำเป็นต้องบอกแบรนด์เพราะถ้าสนใจยังไงไม่มีรูปแนบคนอ่านก็จะกดหาดูแบรนด์อยู่ดี

 

ทิ้งท้าย

Twitter เป็นแพลตฟอร์มที่คน loyalty ต่อแอคนั้นค่อนข้างน้อย เพราะว่าความไม่รู้จักกัน กับคอนเทนต์ที่สื่อออกมาเป็นเพียงข้อความเฉยๆ ทำให้ไม่ได้สร้างความเกี่ยวข้องกันมากมายเหมือนเราตาม Youtuber ทำให้เมื่อเจอแอคที่รีวิวปลอมๆ ก็จะถูก Unfollow ได้ง่าย การรีวิวตามความจริงไม่ต้องตกแต่งภาพให้สวย คือเสน่ห์ของแพลตฟอร์มนี้ที่สุดแล้ว

The post รีวิวสินค้าอย่างไร ให้ได้รับความสนใจบนแพลตฟอร์ม Twitter appeared first on Thumbsup.

5 มุมน่าคิด “เชลล์ชวนชิม ยุคใหม่” คอนเทนต์แบบใหม่ เพื่อการเข้าถึงคนรุ่นใหม่

$
0
0

“เชลล์ชวนชิม” สัญลักษณ์แนะนำอาหารอร่อยในเมืองไทยที่ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2504 กำลังมีภาพลักษณ์และรูปแบบนำเสนอแบบใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น วันนี้เชลล์ชวนชิมเปิดให้นักชิมเข้าถึงร้านอร่อยในตำนานเชลล์ชวนชิมผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มได้บนเว็บไซต์ www.shellshuanshim.com, เพจเฟซบุ๊ก @shellshuanshimofficial และช่องยูทูบเชลล์ชวนชิม Shellshuanshim channel ทั้ง 3 ช่องทางสะท้อนตัวตนของเชลล์ชวนชิมบนโลกออนไลน์ได้หลายมุมมอง ทุกมุมมองถือว่าโดดเด่นน่าจับตาในวันที่สมรภูมิแนะนำร้านอาหารออนไลน์แข่งขันกันดุเดือดเหลือเกิน

สำหรับประวัติเชลล์ชวนชิม ข้อมูลระบุว่าเชลล์ชวนชิมถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยโดย ม.จ.ภีศเดช รัชนี ผู้จัดการแผนกส่งเสริมการขายและการโฆษณา บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ในขณะนั้น ได้ทรงดำริที่จะส่งเสริมการขายแก๊สหุงต้มของเชลล์ จึงได้ทรงปรึกษากับ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ และเกิดเป็นแนวคิดที่จะชูเรื่องอาหาร โดยการแนะนำอาหารอร่อยในประเทศไทย ถือกำเนิดเป็น “เชลล์ชวนชิม” ขึ้นมาใน พ.ศ.2504

1. 1 เดือนผู้ติดตาม 13,547 คน (สถิติวันที่ 22 กันยายน 62)

จากวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ที่เพจเชลล์ชวนชิมได้อัปเดตรูปภาพหน้าปกครั้งแรกบนเฟซบุ๊ก จำนวนผู้กดถูกใจเพจทะลุหลัก 12,450 คนแล้ว และ 13,547 คนกำลังติดตามเพจเชลล์ชวนชิม

หากเชลล์ชวนชิมต้องการตามรอย @MichelinGuideThailand ถือว่า @shellshuanshimofficial จะต้องทำการบ้านอีกมากเพราะ @MichelinGuideThailand มียอดผู้ติดตามบนเฟซบุ๊กมากกว่า 458,598 คน

แต่หากเชลล์ชวนชิมมองแอปพลิเคชันรีวิวร้านอาหารอย่าง wongnai.com เป็นเป้าหมาย เชลล์ชวนชิมจะต้องวิ่งสู้ฟัดทุกกระบวนท่า เพราะวันนี้ @Wongnai มีผู้ติดตาม 4 ล้านคนเฟซบุ๊ก ผ่านคำการันตีว่า Wongnai เป็นแอปร้านอาหารอันดับ 1 ของไทย

2. โพสต์แชร์สูงสุด 5,400 ครั้ง (สถิติวันที่ 22 กันยายน 62)

หากวัดกันเฉพาะบนเพจเฟซบุ๊ก โพสต์ย้อนระลึกถึงเรื่องราวของ “คุณชายนักชิม” ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กันยายนนั้นมียอดผู้แสดงความรู้สึก 1.1 หมื่นครั้งมีความคิดเห็น 135 รายการ และยอดแชร์ 893 ครั้ง โพสต์นี้ถือว่าทำ engagement ได้น้อยกว่าโพสต์ที่ 2 วันที่ 13 กันยายน 62 เรื่อง “5 ร้านรุ่นแรกที่ได้เชลล์ชวนชิม” ที่มีผู้แสดงความรู้สึก 2.8 หมื่นครั้ง ความคิดเห็น 287 รายการ แชร์ 1,500 ครั้ง แต่ทั้งหมดเทียบไม่ได้กับโพสต์ที่ 3 วันเดียวกัน (13 กันยายน 62) เรื่อง “อร่อยตามรอย 8 ร้านโปรด ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์” ซึ่งมียอดแชร์พุ่งสูงสุด 5,400 ครั้ง บนความคิดเห็น 698 รายการ

มุมมองนี้สะท้อนถึงเนื้อหาที่ชวนให้ชาวเฟซบุ๊กคลิกแชร์ ว่าตัวตนของ “คุณอาหม่อม” ยังมีมนต์ขลังชวนให้คนตามรอย หลายความเห็นแชร์เพื่อชวนเพื่อนไปตามรอยให้ครบทั้ง 8 ร้าน ขณะที่หลายความเห็นยืนยันว่าร้านใน 8 รายการนี้อร่อยจริงสมที่ได้รับการแนะนำ

3. ร้านใหม่แชร์น้อย

หลังจากสิ้นตำนาน ม.ร.ว.ถนัดศรี แบรนด์เชลล์ชวนชิมเริ่มดึง “ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์” มาเป็นจุดชูโรงไม่ให้แบรนด์ตายไปผ่านคอนเทนต์แบบใหม่เพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือโพสต์แนะนำร้านเชลล์ชวนชิมใหม่บนเฟซบุ๊กกลับมี engagement น้อยกว่าชัดเจนโดยเฉพาะยอดการแชร์

โพสต์วิดีโอเรื่องอร่อยตามรอย 8 ร้านโปรดฯ สามารถเฉลี่ยยอดแชร์ 5,400 ครั้งออกมาเป็น 600 ครั้งตลอด 9 วันที่เผยแพร่ (5400/9) ขณะที่โพสต์แรกของเพจอย่าง ทิ้งห่างจากโพสต์วันที่ 17 กันยายนเรื่อง “โคคอตฟาร์มโรสต์แอนด์ไวน์เนอรี่ (Cocotte Farm Roast & Winery) ร้านสเต๊กเฮาส์เกรดพรีเมียมในบรรยากาศฟาร์มชนบทของฝรั่งเศสใจกลางสุขุมวิท” ที่มียอดแชร์ 14.6 ครั้งในช่วง 5 วัน (73/5)

แต่ต้องยกให้ว่าเชลล์ชวนชิมมียอดแชร์ที่เหนือกว่า @MichelinGuideThailand ซึ่งมียอดแชร์สูงสุดในรอบการโพสต์ตั้งแต่สิงหาคม-กันยายน ราว 359 ครั้งเท่านั้น เป็นโพสต์รวมร้าน street food ย่านเยาวราชที่มีการแสดงความรู้สึก 4,900 ครั้ง ความคิดเห็น 54 รายการ

4. เว็บไซต์เน้นค้นหา

จากการสำรวจเว็บไซต์ของเชลล์ชวนชิม เป้าหมายหลักของการออกแบบเว็บไซต์คือการเปิดให้คนไทยค้นหาร้านอร่อยระหว่างการเดินทาง ภายในเว็บไซต์รวบรวมความอร่อยไว้เพียบ จุดขายที่เชลล์ชวนชิมการันตีคือ “ข้อมูลแน่น เส้นทางเป๊ะ สะดวกทันใจในคลิกเดียว!”

จุดขายนี้ทำให้เว็บไซต์ shellshuanshim.com ต่างจาก guide.michelin.com ที่เน้นเปิดช่องให้คนค้นหาชื่อร้าน เพราะเชลล์ชวนชิมเพิ่มฟีเจอร์ทั้ง “อร่อยตามเส้นทาง” และ “ร้านใกล้คุณ” ให้ผู้ใช้ค้นหาร้านที่อยู่ใกล้ ซึ่งจะไปท้าชนกับ wongnai.com ที่เปิดให้ค้นหาทั้งร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านเสริมสวยและสปา ในหลายพื้นที่ทั่วไทย

แต่ที่สุดแล้ว เชลล์ชวนชิมและ wongnai.com ถือเป็นมวยคนละคู่ เพราะ wongnai.com ไม่ได้เน้นให้คนเดินทางเหมือนเชลล์ชวนชิม โมเดลธุรกิจด้านอาหารของ wongnai.com จึงเปิดให้นักชิมคลิกสั่งเดลิเวอรี่ได้ตามสะดวก คู่ไปกับการแตกไลน์ทุกบริการที่เกี่ยวกับการรีวิวและไลฟ์สไตล์คนเมือง แต่กรณีของเชลล์ชวนชิมนั้นจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่ตั้งไว้เมื่อผู้คนออกเดินทางแล้วเติมน้ำมันกับเชลล์ ซึ่งไม่ได้เน้นโปรโมทแก๊สหุงต้มของเชลล์แบบเดิมอีกต่อไป

5. YouTube ต้องเร่งเครื่อง

ช่องยูทูบของเชลล์ชวนชิม “Shellshuanshim channel” มีสถิติ subscriber เพียง 89 รายเท่านั้น (สถิติ 22 กันยายน 62) ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ติดตามบนเพจเฟซบุ๊ก

สถิติระบุว่าช่องเชลล์ชวนชิมก่อตั้งวันที่ 1 สิงหาคม 62 แต่เพิ่งอัปวิดีโอจำนวน 4 ชิ้นในช่วง 4 วัน (18-22 กันยายน) มียอดชมเพิ่งตั้งไข่ 415 view ทั้ง 4 วิดีโอเป็นชิ้นเดียวกับที่เผยแพร่บนเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่แน่ เชลล์ชวนชิมอาจจะเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ด้านคอนเทนต์วิดีโอ เพื่อเพิ่มยอดชมในแพลตฟอร์มอื่นเช่นกัน

The post 5 มุมน่าคิด “เชลล์ชวนชิม ยุคใหม่” คอนเทนต์แบบใหม่ เพื่อการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ appeared first on Thumbsup.


Instagram เพิ่ม Branded Content Tags บน IGTV แล้ว

$
0
0

แม้ว่า Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ Branded Content Tags ที่ให้ Advertisers ทุกคนสามารถลงโฆษณาในแบบ Branded Content Ads ได้อย่างเป็นทางการ ข้อดีของการโฆษณาแบบนี้ส่งผลดีต่อทั้ง Influencer ที่จะได้ Reach และ Engagement ต่อ มากขึ้น และโฆษณาของแบรนด์จะเข้าถึงผู้ติดตาม (Follower) ของ Influencer ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวเปิดให้ผู้ใช้แค่บางส่วนใช้ได้เท่านั้น

แต่ล่าสุดทาง Instagram ก็ขยายฟีเจอร์ดังกล่าวมายังแพลตฟอร์มวิดีโอของตัวเองอย่าง IGTV เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย @MattNavarra เปิดเผยว่า บัญชี Business หรือ Creator ของใครที่อยู่ในประเทศที่เปิดให้ใช้ Branded Content Tags บน IGTV แล้ว จะสามารถได้ข้อความ “Paid Partnership with…” ตามด้วยชื่อผู้ลงโฆษณา ขึ้นอยู่บนคลิปได้อย่างเป็นทางการแล้ว

โดยสามารถติด Branded Content Tags บนคลิป IGTV ของได้โดยการกดที่ Tag Business Partner ก่อนจะลงคลิปบน IGTV

การทำให้ IGTV สามารถลงโฆษณา Branded Content ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ก็สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของแพลตฟอร์ม IGTV โดยเว็บไซต์ Later ระบุว่า IGTV มียอดชมคลิปเพิ่มมากถึง 300-1000 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วง IGTV เปิดตัว ประกอบกับช่วง ก.พ. 62 ที่ผ่านมา Instagram ดึงคลิปจาก IGTV มาแสดงในฟีดหน้าแรกด้วย

นอกจากนี้ การความยืดหยุ่นในการลงโฆษณา Branded Content จะเป็นผลดีต่อแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการทำงานกับ Influencer ซึ่งการเคลื่อนไหวของ Instagram ครั้งนี้ก็ต้องการอำนวยความสะดวกให้กับ Brand และ Influencer ที่อยู่บน Instagram นั่นเอง

ที่มา: Social Media Today

The post Instagram เพิ่ม Branded Content Tags บน IGTV แล้ว appeared first on Thumbsup.

Samuel L. Jackson พากษ์เสียงใหม่ของ Alexa สะท้อนให้เห็นอะไร?

$
0
0

Samuel L. Jackson ดาราดังผู้รับบท Nick Fury ในจักรวาล Marvel คือบุคคลที่จะเป็นต้นแบบเสียงให้ระบบผู้ช่วยเสียงอัจฉริยะอย่าง Alexa ของ Amazon ความน่าตื่นเต้นคือ Jackson เป็นดาราที่ขึ้นชื่อเรื่องการสบถคำว่า “motherfucker” ซึ่งตัวเขาสบถคำนี้มากกว่า 40 ครั้งในภาพยนตร์ดังเรื่องล่าสุดอย่าง Shaft

ความหมายของการดึง Samuel L. Jackson มาเป็นเสียงใหม่ให้ Alexa คือการวางกลยุทธ์ให้ Alexa เข้าถึงคนรุ่นใหม่ท่ามกลาง “วัฒนธรรมป๊อป” โดย Samuel L. Jackson ถือเป็นดาราดังคนแรกที่ให้เสียง Alexa หลังจากที่ Morgan Freeman ให้เสียงระบบผู้ช่วยของ Facebook และ John Legend ให้เสียงในระบบผู้ช่วยของ Google

สิ่งที่ Amazon ทำคือการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ฟังเสียง Samuel L. Jackson เล่าเรื่องสภาพอากาศตอนเช้า และให้ความช่วยเหลือทุกเรื่องตลอดทั้งวัน แน่นอนว่าภาพของ Nick Fury ที่ติดกับเสียง Jackson จะทำให้ผู้ใช้ได้รับสีสันเช่นอารมณ์สบถชวนหัว แถม Jackson ยังสามารถเล่นเพลงโปรด รวมถึงเล่าเรื่องตลกให้ฟังแบบเพลินใจได้

ตั้งค่าระดับการสบถได้

ข้อมูลระบุว่า Amazon เปิดให้ผู้ใช้ Alexa เริ่มต้นใช้งานระบบเสียง Samuel L. Jackson ด้วยการพูดว่า “Alexa, introduce me to Samuel L. Jackson.” เพื่อบอกให้ Alexa แนะนำให้รู้จักกับดาราดัง จากนั้นทุกคนจะสามารถเลือกได้ว่าคุณต้องการให้ Jackson ใช้ภาษาของเขาเองแบบชัดถ้อยชัดคำหรือไม่ เรียกว่าเป็นการเลือกระดับการสบถคำว่า “motherfucker!” ได้ตามใจต้องการ โดยชุดเสียงของ Samuel L. Jackson จะพร้อมใช้งานในปลายปีนี้และจะวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 0.99 เหรียญในเวลาจำกัด

การใช้เสียง Jackson นั้นถูกบันทึกว่าไม่ได้มาจากความคิดของผู้บริหาร Amazon เพราะในปี 2014 มีวิดีโอ YouTube ที่ครีเอเตอร์หัวใสนำโฆษณา Amazon Echo มาตัดต่อเสียง Jackson ลงไปจนเรียกเสียงฮือฮา สำหรับ Alexa ดาราดังอย่าง Jackson จะไม่ได้ช่วย Echo สั่งซื้อสินค้า หรือแจ้งเตือน แต่จะทำงานเบื้องต้นบางรายการเท่านั้น ทั้งหมดนี้ Amazon ใช้เทคโนโลยีแปลงข้อความเป็นเสียงหรือ text-to-speech โดยที่ Samuel L. Jackson ไม่ต้องอัดเสียงเองทุกประโยค

ตามประวัติ Samuel Leroy Jackson เกิดวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1948 เป็นนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ชาวอเมริกันที่เริ่มมีชื่อเสียงในต้นปี 90 ที่มีผลงานแสดงภาพยนตร์มากกว่า 70 เรื่อง เสียงยกย่องด้านการแสดงทำให้ชื่อของ Jackson โดดเด่น ควบคู่กับการที่ภาพยนตร์ซึ่ง Jackson ร่วมแสดง ล้วนเป็นหนังทำเงินที่สามารถกวาดรายได้สูงมากที่สุดในบ็อกซ์ ออฟฟิศ

ทำไมชอบสบถ

Jackson ให้สัมภาษณ์กับ Vanityfair ถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขารักการสบถคำว่า motherfucker! ซึ่งมีสถิติบันทึกไว้ว่า Jackson ตะโกนคำที่คุณแม่ฟังแล้วสะดุ้งมากกว่า 40 ครั้งในเวลา 1 ชั่วโมง 51 นาทีของภาพยนตร์เรื่องล่าสุด โดยตัวเขาไม่พูดถึงเลยว่า motherfucker เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้เขาหายจากอาการพูดติดอ่างอย่างที่มีประวัติเล่ามานาน

Jackson บอกว่ายอมรับว่าตัวเองเป็นคนแบบนี้ และไม่เคยรังเกียจหากตัวเขาเองจะถูกเชื่อมโยงกับคำว่า motherfucker โดยบอกว่าจะไม่หนีจากนิสัยแบบนี้และจะก้าวเข้าไปหาแบบเต็มตัว ซึ่งตัวเขามองว่าคำนี้เป็นบทสนทนา สามารถแสดงอารมณ์ได้โดยไม่ต้องคิดว่าจะพูดยังไง และคำนี้ถูกพูดออกมาตามธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งไม่มีคำพูดไหนที่ดีไปกว่า ‘motherfucker’ เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์นั้น ทำให้ motherfucker เป็นคำที่ครอบคลุมจนให้ความรู้สึกที่ดี

ตัวของ Kenya Barris ผู้เขียนบทและผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Shaft ก็กล่าวว่าตัวเขาสนุกกับการฟังคำสบถของ Jackson ซึ่งไม่ต่างจากแฟนคลับ Jackson ที่ฟังคำสบถแล้วรู้สึกดี ทำให้เขาตัดสินใจเอาใจคอหนัง และเพื่อเป็นเกียรติแก่ตัวละครที่ Jackson รับบทบาท

สำหรับ Jackson มีบันทึกว่านักแสดงชื่อดังเคยมีอาการติดอ่างมาตั้งแต่เล็ก จนขยับมาพูดคำว่า motherfucker ซ้ำๆจนหายอาการติดอ่างบนอารมณ์ขันที่ได้เพิ่มขึ้นมา ในวัยเด็ก Jackson เติบโตมากับปู่และย่าซึ่งพ่อและแม่แยกทางกัน แต่ก็สามารถพัฒนาตัวเองเป็นนักต่อสู้สิทธิมนุษยชน และผันตัวเข้าสู่ฮอลลีวูดในที่สุดจนโด่งดังสุดขีดกับบท Nick Fury ที่ทำให้วัยรุ่นยุคนี้จดจำได้แม่น

เชื่อว่า Jackson จะเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นจดจำ Alexa ได้แม่นไม่แพ้กัน

ที่มา : Fast Company

The post Samuel L. Jackson พากษ์เสียงใหม่ของ Alexa สะท้อนให้เห็นอะไร? appeared first on Thumbsup.

2 บริษัท Adtech รวมกิจการ! Taboola เข้าซื้อ Outbrain หวังสู้ในตลาดโฆษณากับ Google-Facebook

$
0
0

ระบบแนะนำโฆษณาที่ขึ้นมาในรูปแบบการแนะนำบทความทั้ง Taboola และ Outbrain ที่บางคนอาจจะเรียกว่าเป็น Adtech Startup กำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว! เมื่อ Taboola เข้าซื้อกิจการของคู่แข่งทางธุรกิจอย่าง Outbrain มูลค่ารวมสูงถึง 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 25,784 ล้านบาท และเตรียมควบรวมกิจการกันต่อไป

หากใครนึกไม่ออกว่าโฆษณาของ Taboola และ Outbrain เป็นแบบไหน อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือโฆษณาที่อยู่ในระหว่างเนื้อหา ใต้เนื้อหา หรือข้างๆ เนื้อหาของเว็บไซต์ที่เป็น Publisher ต่างๆ ซึ่งรายได้ก็จะแปรผันตามโฆษณา

ทั้งสองบริษัทก่อตั้งที่ประเทศอิสราเอล แต่มีสำนักงานใหญ่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย Outbrain ก่อตั้งในปี 2549 ส่วน Taboola ก่อตั้งในปี 2550

การรวมกันกิจการในครั้งนี้ จะทำให้ทั้งสองบริษัท

  • มีพนักงานมากกว่า 2,000 คน ในสำนักงาน 23 แห่ง
  • มีฐานผู้ใช้ที่เข้าถึงโฆษณาอยู่ที่ 2,600 ล้านราย
  • มีจำนวนลูกค้าอยู่ที่ 20,000 ราย ทั้งในอเมริกาเหนือ, ละตินอเมริกา, ยุโรป, ตะวันออกกลาง และเอเชียแปซิฟิก
  • มีพาร์ทเนอร์สื่อที่ทำงานร่วมกันก็จะมีทั้ง
    • CNBC, NBC News, USA TODAY, BILD, Sankei, Huffington Post, Microsoft, Business Insider, The Independent, El Mundo และ Le Figaro จาก Taboola
    • CNN, BBC, The Washington Post, The Guardian, Spiegel Online, El Paris และ Sky News จาก Outbrain

โดยผู้ถือหุ้น Outbrain จะได้รับหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์และเงินสดมูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7,630 ล้านบาท)

Adam Singolda CEO Taboola
อดัม ซิงโกลด้า ผู้ก่อตั้งและ CEO คนปัจจุบันของ Taboola

ส่วนตำแหน่งผู้บริหารคนสำคัญหลังควบรวมกิจการจะเป็นดังนี้

  • อดัม ซิงโกลด้า (Adam Singolda) ผู้ก่อตั้งและ CEO คนปัจจุบันของ Taboola จะยังดำรงตำแหน่ง CEO ต่อไป
  • อัลดาด มานีฟ ผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Taboola และเดวิด โคสต์แมน Co-CEO ของ Outbrain ก็จะมีส่วนร่วมในการบริหาร Taboola ต่อไป
  • ส่วนยารอน กาไล CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Outbrain จะมีส่วนร่วมในระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปอีก 12 เดือนจนกว่าการควบรวมกิจการจะเสร็จสิ้น

นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทมีแผนที่จะขายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป ซึ่งตอนนี้เราก็คงพอทราบกันอยู่แล้ว Taboola ก็มีสำนักงานในประเทศไทยอยู่แล้ว

น่าสนใจว่าการรวมกิจการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Taboola และ Outbrain ก็เตรียมสู้กับ Google และ Facebook ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโฆษณาออนไลน์ที่ได้เม็ดเงินจากทั่วโลกไปมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่ง Traffic เว็บส่วนใหญ่ในเวลานี้ก็ไหลไปยัง Google Search, YouTube และบน News Feed ของ Facebook

รวมถึงมีข่าวว่าผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมักเปิดตัวบล็อคโฆษณาหรือ Ad-blocker มากขึ้นจาก 24.7 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีข่าวว่า Facebook กำลังพยายามสร้างแท็บรวมข่าวหรือ News Tab อีกด้วย

ประกอบกับข้อมูลของ eMarketer ปี 2562 ระบุว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์ของเม็ดเงินที่ลงโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา อยู่ในมือของผู้เล่นหลักเพียง 3 ราย คือ Facebook, Google และ Amazon ทำให้สำนักข่าวออนไลน์ และ Publisher ต่างๆ ต้องสู้กับการถูกแย่งรายได้จากยักษ์ใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

”การร่วมมือกันครั้งนี้เรายังคงเดินหน้าลงทุนในการทำให้เม็ดเงินโฆษณาทุกบาททุกสตางค์ไปถึงองค์กรสื่อและผู้ผลิตคอนเทนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่วงการสื่อสารมวลชนในทศวรรษหน้า และนั่นคือเหตุผลที่เกิดการควบรวมกิจการครั้งนี้และพันธกิจของเรา” อดัม ซิงโกลด้า CEO กล่าวอย่างมั่นใจว่าจะสู้ในสนามนี้เพื่อช่วยเหล่า Publisher ต่อไป

ที่มา: Taboola, Outbrain (1) (2), New York Times, TechCrunch และข่าวประชาสัมพันธ์ Taboola ประเทศไทย

The post 2 บริษัท Adtech รวมกิจการ! Taboola เข้าซื้อ Outbrain หวังสู้ในตลาดโฆษณากับ Google-Facebook appeared first on Thumbsup.

THUMBSUP SCOOP : “Out of Home Ads” The Dark Horse of Advertising Channel

$
0
0

THUMBSUP SCOOP ของเราเดินทางมาสู่เล่มที่ 4 แล้ว โดยมาในหัวข้อ “Out of Home Ads: The Dark Horse of Advertising Channel” สื่อนอกบ้าน ม้ามืดสุดร้อนแรงแห่งวงการโฆษณา เพื่อพาผู้ติดตาม thumbsup ทุกท่านไปทำความรู้จักกับสื่อโฆษณานอกบ้านอย่าง Out of Home Media ที่หลายคนอาจมองข้ามไป โดยอาจจะให้เหตุผลว่าราคาค่อนข้างแพง, คนอาจจะเห็นได้เพียงเวลาสั้นๆ, ไม่เชื่อว่าจะทำให้เกิด Awareness ได้โดยง่าย หรือเหตุผลอะไรก็ตาม

แต่ทำไมหลายแบรนด์กลับให้ความสนใจกับสื่อโฆษณาแบบนี้กันมากขึ้น ทั้งๆ ที่เป็นรูปแบบหรือช่องทางการโฆษณานี่อยู่ “นอกสายตา”ใครหลายๆ คนไป แต่ทำไมพวกเขาจึงเชื่อว่าการโฆษณารูปแบบนี้จะเข้าไปอยู่ “ในตา” และ “ในใจ” กลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภคได้

วันนี้เราจึงขอพาทุกท่านไปหาคำตอบกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ Out of Home Media อย่างคุณภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ-สายงานการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา ของบริษัท มีเดีย อิเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ Media Intelligence (MI) และคุณวัชรพงศ์ ลีโทชวลิต หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ของบริษัท แพลน บี มีเดีย จํากัด (มหาชน) หรือ Plan B ซึ่งได้ข้อมูลที่ใครนักการตลาดและผู้ลงโฆษณาอาจไม่เคยรู้มาก่อนแล้ว

เราได้โอกาสสัมภาษณ์คุณไมค์ ไมเคิล จิตติวาณิชย์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด Google ประเทศไทย เพื่อขอคำแนะนำในการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Google และ YouTube เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพทางการตลาดสูงสุดอีกด้วย

อย่ารอช้าดาวน์โหลด E-Book ของเรา ‘THUMBSUP SCOOP’ ได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ -> https://www.thumbsup.in.th/wp-content/uploads/2019/10/thumbsup-scoop-out-of-home-ooh-ads-ebook-sep-2019.pdf

หรือจะอ่านจากด้านล่างนี้ทันทีเลยก็ได้ครับ

thumbsup-scoop-out-of-home-ooh-ads-ebook-sep-2019

 

คลิปวิดิโอสัมภาษณ์

บทความที่มีอยู่ใน E-Book

บทความแนะนำ

ติตตามอ่าน THUMBSUP SCOOP ย้อนหลังได้ที่ https://www.thumbsup.in.th/tag/thumbsup-scoop

The post THUMBSUP SCOOP : “Out of Home Ads” The Dark Horse of Advertising Channel appeared first on Thumbsup.

ตัวอย่างเรทราคาป้ายโฆษณานอกบ้าน (Out of Home Ads) อัพเดทล่าสุด ต.ค. 62

$
0
0

ต้องยอมรับว่าในยุคนี้ ช่องทางการตลาดที่เป็นม้ามืดนอกสายตาใครหลายๆ แต่กลับมีประสิทธิภาพในทางการตลาดสูง คงหนีไม่พ้น “สื่อโฆษณานอกบ้าน” หรือ “Out of Home Advertising” นั่นเอง โดยราคาแบบลงเฉพาะจุดและแบบแพ็คเกจเป็นดังนี้

ราคาแบบลงเฉพาะจุด

  1. ป้ายหน้าห้าง EmQuartier ติดกับ BTS พร้อมพงษ์ จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 390,000 บาทต่อเดือน
  2. ป้ายหน้าห้าง MBK Center ติดกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 100,000 บาทต่อเดือน
  3. ตึก Lumpini Park View ตรงแยกพระราม 4 มีลักษณะเป็นป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงสูงขนาบไปกับตึก จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 375,000 บาทต่อเดือน
  4. ป้าย Serie Pole ขนาด 4×6 เมตร แสดง 3 Panel จำนวนการแสดง 6 Faces ราคาอยู่ที่ 850,000 บาทต่อเดือน
  5. ป้ายโฆษณาแบบ Wrap ติดรอบขบวนรถไฟฟ้า มีราคาโฆษณาที่ ราคาอยู่ที่ 799,000 บาทต่อเดือน
  6. ป้ายโฆษณาทางด่วน บริเวณมุ่งหน้าไปทางบางนา ขนาด 15×50 เมตร จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 850,000 บาทต่อเดือน
  7. ป้ายโฆษณาทางด่วน บริเวณมุ่งหน้าไปสนามบินสุวรรณภูมิ ขนาด 17×62 เมตร ราคาอยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน
  8. ป้ายทางด่วนหมอเหล็ง บริเวณซอยหมอเหล็ง ขนาด 18×58 เมตร ราคาอยู่ที่ 950,000 บาทต่อเดือน
  9. ป้ายยาวหน้าทางเข้าสนามบินสุวรรรภูมิ ขนาด 18×201 เมตร ราคาอยู่ที่ 2,200,000 บาทต่อเดือน

 

ราคาแบบแพ็คเกจ

  • แพ็คเกจ Plan B อย่าง Digital LED Network แบบ TV Full 190 Screens มีราคาอยู่ที่ 2,750,000 บาทต่อเดือน
  • แพ็คเกจ VGI อย่าง Digital LED Network บนสถานีรถไฟฟ้า BTS และ Immerse + Connect (No Lock Box) มีราคาอยู่ที่ 2,450,000 บาทต่อเดือน
  • แพ็คเกจจอในลิฟท์ของอาคารสำนักงาน POV แสดงผ่าน 1,340 Screens ครอบคลุม 174 ตึก ราคาอยู่ที่ 880,000 บาทต่อเดือน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก Media Intelligence

 

:: ตัวอย่างเรทราคาป้ายโฆษณา Out of Home (สื่อโฆษณานอกบ้าน) ::.ต้องยอมรับว่าในยุคนี้…

โพสต์โดย Thumbsup in Thailand เมื่อ วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2019

 

อ่านประกอบ

The post ตัวอย่างเรทราคาป้ายโฆษณานอกบ้าน (Out of Home Ads) อัพเดทล่าสุด ต.ค. 62 appeared first on Thumbsup.

Viewing all 1958 articles
Browse latest View live