Quantcast
Channel: Digital Advertising – Thumbsup
Viewing all 1958 articles
Browse latest View live

เจาะเบื้องลึก DAAT Score ข้อสอบวัดความรู้ของคนวงการดิจิทัล แห่งแรกของประเทศไทย

$
0
0

เราได้คุยกับ ป้อม ศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัลแห่งประเทศไทย Digital Advertising Association (Thailand) / DAATถึงเบื้องลึกเบื้องหลังในการออกข้อสอบ DAAT Score ซึ่งเป็นข้อสอบวัดความรู้ของคนวงการดิจิทัล ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในช่วงที่ผ่านมา

จุดเริ่มต้นของการจัดการสอบมาจากไหน

ศิวัตร : แนวความคิดแรกเกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้วในการระดมสมองของเอเจนซี่  จากการหารือกันว่าควรจะทำโปรเจกต์อะไรดีนอกจากการจัดงาน DATT DAY ในตอนนั้นมีหลายสิบไอเดียเกิดขึ้นมา  และ DAAT Score ก็คือหนึ่งในนั้น

จนกลายมาเป็นจุดตั้งต้นของไอเดีย  และนำไปสู่การพัฒนาตั้งแต่ออกแบบโครงสร้างข้อสอบ สรรหาผู้ออกข้อสอบ เลือกระบบโครงสร้างซอฟต์แวร์  จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงทดลองสอบเมื่อเกือบครึ่งปีที่ผ่านมา

ใครเป็นผู้ออกข้อสอบ

ศิวัตร : ข้อสอบจะถูกออกโดย ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ’ ที่ได้รับเชิญมา  โดยผู้ที่ออกข้อสอบในแต่ละหมวดนั้นต้องมี 2-3 คน  ซึ่งเมื่อออกแล้วจะไม่สามารถทราบได้ว่าข้อสอบข้อนั้นจะได้เข้าไปอยู่ในระบบหรือไม่  เพราะออกเสร็จแล้วจะต้องผ่านการคัดกรองจากกรรมการกลั่นกรองข้อสอบอีกครั้งหนึ่ง

กระบวนการในการออกข้อสอบ

ศิวัตร : การออกข้อสอบจะถูกออกตามแนวทางเบื้องต้นของเนื้อหาที่สมาคมฯ ได้ให้ไป  โดยข้อสอบหมวดหนึ่งจะมีการออกมารวมกัน 40 ข้อ  จากนั้นทั้ง 40 ข้อ จะถูกส่งไปให้กรรมการกลั่นกรองข้อสอบ  ซึ่งจะไม่ทราบชื่อของผู้ออกข้อสอบที่มีมากกว่าหนึ่งคน  จากนั้นจะมีการคัดเลือกให้ข้อที่ผ่านใส่เข้าไปในระบบ

และกรรมการกลั่นกรองจะเห็นข้อที่ผ่านเฉพาะหมวดที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ตรวจเท่านั้น  ดังนั้นจึงไม่มีใครคนใดจะเห็นข้อสอบทั้งหมด  เพราะมีการใช้ผู้ออกข้อสอบจำนวนมาก  นอกจากนั้นในแต่ะหมวดยังมีการคละกันของข้อสอบที่ง่าย ปานกลาง และยาก ปะปนกันไป

ใบรับรองที่สอบมาจะอยู่ได้นานแค่ไหน

ศิวัตร : ใบรับรองจะมีอายุหลังจากการสอบเป็นเวลา 2 ปี  โดยออกมาในรูปแบบว่าผ่านการทดสอบด้วยคะแนนเท่าไร   ซึ่งเมื่อจะทำการสอบต้อง Log-in แบบมี User และ Password อยู่แล้ว  หลังจากนั้นเมื่อสอบเสร็จสามารถ Log-in เข้าไปดูคะแนนเก่าได้

หากมีการไปยื่นใบสมัครงานที่บริษัทโดยบอกว่าสามารถทำคะแนน DAAT Score ได้จำนวนนี้  ทางบริษัทก็สามารถขอข้อมูลกับทางสมาคมได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่  เพื่อป้องกันการทำใบรับรองคะแนนปลอม

ในอนาคตจะหากมีการสอบในนามของบริษัทไหน  ทางบริษัทำนั้นก็จะมีฐานข้อมูลในการตรวจสอบคะแนนของตนเองได้เช่นกัน  โดย Admin สามารถ Log-in เพื่อเข้าไปดูได้ว่าพนักงานแต่ละคนในบริษัทของตัวเองมีผลการทดสอบระดับใด

ในอนาคตสมาคมฯ จะมีการเปิดติวไหม

ศิวัตร : หากทางสมาคมจัดการอบรมก็คงจะทำได้ไม่ทันกับจำนวนผู้เข้าอบรม  และในตอนนี้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่สอนกันเป็นจำนวนมากแล้ว  แต่ปัญหาที่พบคือการไม่ทราบว่าเมื่อสอนแล้วเป็นอย่างไร  จึงมองว่าบทบาทที่ดีกว่าของสมาคมคือการ ‘วัดผล’ มากกว่า

มีการร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยอย่างไรบ้าง

ศิวัตร : เพราะการได้คะแนนสูงๆ สำหรับสมาคมคือ “การได้คะแนนตามสิ่งที่วงการดิจิทัลไทยต้องการ” ซึ่งความสำคัญคือสมาคมฯ คืออาจจะเป็นบริษัทที่จ้างงานเด็กๆ ในอนาคต

หากมหาวิทยาลัยหนึ่งนำเด็กมาสอบแล้วได้คะแนนน้อยทางมหาวิทยาลัยก็ต้องทราบแล้วว่าสิ่งที่สอนอยู่นี้ไม่ตอบอยู่ในทิศทางของสมาคม  ซึ่งอาจจะไม่ได้สอนนั้นไม่ดีเพียงแต่ทิศทางไม่ตรงกัน  จึงเป็นสาเหตุที่ต้องคุยกับมหาวิทยาลัยให้มาเข้าร่วมการทดสอบ

ในปัจจุบันมีการคุยกับมหาวิทยาลัยที่สอบไปแล้วคือ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. ส่วนที่กำลังจะเข้าร่วมการสอบในอนาคต  คือมหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  และวางแผนที่จะให้หลายๆ มหาวิทยาลัยเข้าร่วมการทดสอยด้วย  โดยไม่มีการกำหนดคณะที่เรียนของนักศึกษาที่อยากเข้าร่วมการทดสอบ

ซึ่งอีกสิ่งที่สมาคมฯ สามารถช่วยเหลือได้หากทางมหาวิทยาลัยต้องการ  คือการให้คำปรึกษาเรื่องการออกแบบหลักสูตรให้ตอบรับกับวงการดิจิทัล

ข้อสอบจะมีการอัปเดตมากน้อยแค่ไหน

ศิวัตร : ข้อสอบจะมีการออกใหม่ในทุกๆ ไตรมาส  โดยเป็นระบบฐานข้อมูลข้อสอบที่ทุกๆ ไตรมาสที่มีข้อสอบใหม่เติมเข้าไปในระบบ  และมีการดึงข้อสอบที่หมดอายุออกจากระบบ (ข้อสอบที่ความรู้เดิมล้าสมัยไปแล้ว)  ซึ่งกรรมการกลั่นกรองจะเป็นผู้คอยคัดกรองเนื้อหาเหล่านี้ในหมวดที่ตัวเองรับผิดชอบ

หากเอเจนซี่อื่นๆ สนใจอยากมีส่วนร่วมในการออกข้อสอบ

ศิวัตร : หากมีเอเจนซี่ใดสนใจจะร่วมออกข้อสอบ  แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมก็สามารถเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกได้  เพราะสมาคมฯ ไม่ได้มีการปิดกั้น  โดยถ้าผ่านการเลือกตั้งเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกรรมการสมาคม  ซึ่งมีการเลือกตั้งทุกๆ 2 ปี  จากนั้นกรรมการสมาคมจะสรรหาว่าใครจะเป็นผู้ออกข้อสอบในส่วนถัดมา

นับเป็นอีกการสอบที่น่าสนใจ  เพราะถ้าในอนาคตเมื่อมีผุ้สอบจำนวนมาก  ก็จะเป็นฐานข้อมูลที่ทำให้เราเห็นค่าเฉลี่ยของทั้วงวงการ  ว่าสำหรับวงการดิจิทัลไทยมีเรื่องไหนที่คะแนนน้อย  และควรเสริมความรู้ในด้านนี้ให้กับคนทำงานกันเพิ่มเติมกันอีกบ้าง

 
Source: thumbsup

The post เจาะเบื้องลึก DAAT Score ข้อสอบวัดความรู้ของคนวงการดิจิทัล แห่งแรกของประเทศไทย appeared first on thumbsup.


ITOPPLUS เปิดตัวแพลตฟอร์ม Marketing Automation เปิดทดลองใช้ฟรี 1 ปีเมื่อเข้าโครงการฯ

$
0
0

ITOPPLUS เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation) พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มของตัวเองขึ้นมาอีกราย เพื่อให้ SME ทำการตลาดผ่านทาง Google ได้ง่ายขึ้น คาดปี 2562 มูลค่าของตลาดแพลตฟอร์มดังกล่าวในทั่วโลกจะสูงถึง 170,000 ล้านบาท

การตลาดดิจิทัลมาแรง แต่การตลาดอัตโนมัติมาแรงกว่า

กัมพล ธนาปัญญาวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอท้อปพลัส จำกัด (ITOPPLUS) ในฐานะบริษัทที่เป็น Google Partner ผู้ให้บริการ Google Adwords อย่างเป็นทางการได้เปิดเผยว่า

สถิติจากสมาคมโฆษณาดิจิทัลแห่งประเทศไทย ปี 2561 ระบุว่ามีการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลมูลค่าราว 17,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 36 เปอร์เซ็นต์ และมีการคาดการณ์กันว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้า จะโตขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ตามเทรนด์ของโลก (เป็นการวัดจาก Agency เท่านั้น)

ซึ่งแนวโน้มของทั่วโลกตอนนี้ พบว่าเริ่มหันมาทำการตลาดด้วยตนเองมากขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ ทำให้แพลตฟอร์ม Marketing Automation ได้รับความนิยมมากขึ้น

รวมถึงเว็บไซต์ MarketingAndMarkets.com คาดการณ์ว่าในปี 2562 มูลค่าของตลาดแพลตฟอร์มดังกล่าวจะมีมูลค่าสูงถึง 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (170,000 ล้านบาท)

กัมพลอธิบายให้เราฟังว่า Marketing Automation ทำการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพสูงผ่านทางทุกช่องทางแบบอัตโนมัติ ไม่ใช้มนุษย์ อย่างในต่างประเทศก็มี เช่น Cobiro, Opteo และ Adference เป็นต้น ซึ่งมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำได้ง่ายและต่อเนื่อง, มีประสิทธิภาพมากขึ้น, เป็นระบบอัตโนมัติ และทุกคนสามารถตั้งค่าได้ด้วยตัวเอง

ส่วนเหตุผลของการเข้ามาของ Marketing Automation ในยุคนี้ก็มีหลายเหตุผลด้วยกัน ได้แก่ เทคโนโลยีการตลาดซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว, การแข่งขันสูงขึ้น, บริษัทเกิดใหม่มีจำนวน 350,000-400,000 รายต่อปีในไทย ไม่รวมบริษัทจากจีน, การโฆษณาใน Google-Facebook แพงมากขึ้น Return of Investment (ROI) น้อยลง และคนด้านการตลาดิจิทัลหายากขึ้นเรื่อยๆ

ITOPPLUS พัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดแบบอัตโนมัติ

จากการพบปัญหาของลูกค้านับหมื่นรายและทีมงานการตลาด เดิมเราตัดสินใจผิดเพราะเราไม่มีข้อมูล ทำให้ ITOPPLUS พัฒนาแพลตฟอร์มด้านการตลาดแบบอัตโนมัติในชื่อ AUTODIGI ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถวิเคราะห์แคมเปญการตลาดด้วยการใช้สถิติและ Machine Learning แก้ไขให้ผลลัพธ์ทางการตลาดมีประสิทธิภาพ

แพลตฟอร์มดังกล่าวพัฒนาโดยคนไทย เจาะเข้ากลุ่มบริษัทที่ทำด้าน Digital Agency รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่/ขนาดเล็ก/SME ที่มีทีมการตลาดของตัวเอง

สามารถตั้งให้คนทั่วไปดูแค่รายงานภายนอกได้ แจ้งเตือนขึ้นมาเมื่อถึงเวลาควรปรับปรุงแคมเปญ เพื่อให้เป็นไปตาม Target หากบางฟอร์มวัด Conversion ไม่ได้ ก็มีระบบสร้าง Widget เพื่อไปแปะในเว็บไซต์ได้

รวมถึงสามารถ Track Conversion ได้ง่ายขึ้น ต่างจากเดิมที่ต้องเกี่ยวข้องกับโค้ดเยอะพอสมควร ซึ่งการแก้ไขโค้ดเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป หากมีการติด track ก็จะแจ้งเตือนให้ทราบ

ITOPPLUS คาดการณ์ว่าจะพัฒนา AUTODIGI ให้เข้ากับธุรกิจทุกกลุ่มได้ภายใน 2 ปี และจะมีการเปิดตัวแพลตฟอร์มดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อไป โดยยืนยันว่าจากบริการในอดีตที่เคยมีมา มีอัตราการต่ออายุบริการสูงถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เชื่อมั่นว่า AUTODIGI จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

เปิดตัวโครงการ Mission to Google Automation Platform

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวโครงการที่ชื่อ Mission to Google Automation Platform รับสมัครผู้ประกอบการ-นักการตลาดที่มีเว็บไซต์และทำการตลาดผ่าน Google จำนวน 500 ราย จาก 33 กลุ่มธุรกิจ ได้ใช้งานแพลตฟอร์ม AUTODIGI ฟรี 1 ปี โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ และเมื่อมีผู้รับสมัครครบ 500 คนก็จะปิดรับทันที

หากเข้าร่วมโครงการน ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น อบรมสัมมนาเรื่อง Google Insight, วิเคราะห์โฆษณา Google ในเชิงลึก, ปรับแก้แคมเปญโฆษณา Google ให้มีประสิทธิภาพ, แนะเทคนิค-ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะทำให้โฆษณาได้เก่งขึ้น เป็นต้น

ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการสามารถออกจากโครงการได้ตลอดหากไม่สะดวกหรือไม่สบายใจ ส่วนข้อมูลระหว่างร่วมโครงการจะถูกเก็บเป็นความลับ เพราะต้องการดู pain point ของการทำการตลาด แล้วนำมาพัฒนาแพลตฟอร์ม AUTODIGI

นอกจากนี้ ITOPPLUS ยอมรับมีอีกสองสามแพลตฟอร์มที่กำลังพัฒนาในลักษณะเดียวกันอยู่ แต่ตลาดนี้ต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญและเข้าใจในเรื่องการตลาดอัตโนมัติถึงจะอยู่รอดได้

 
Source: thumbsup

The post ITOPPLUS เปิดตัวแพลตฟอร์ม Marketing Automation เปิดทดลองใช้ฟรี 1 ปีเมื่อเข้าโครงการฯ appeared first on thumbsup.

Instagram เน้น SME แจกฟรีทุกฟีเจอร์ หวังผู้ใช้งานทั่วไปสร้างโอกาสธุรกิจมากขึ้น หลังยอดผู้ใช้งานแตะ 1,000 ล้านคนทั่วโลกแล้ว

$
0
0

จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Instagram ทั่วโลกนั้นมีตัวเลขแตะหลัก 1,000 ล้านบัญชีแล้ว ซึ่ง 80% ของผู้ใช้งานทั่วโลกนั้น ไม่ได้เข้ามาส่องเรื่องราวของเพื่อนเพียงอย่างเดียว แต่มีความสนใจในธุรกิจรายย่อยด้วย หรือพูดง่ายๆ คือผู้ใช้งาน IG นอกจากเข้ามาส่องเรื่องของดารา หรือคนดังทั่วโลกแล้ว การเข้ามาช้อปปิ้งก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้ใช้งานชื่นชอบในการเข้ามาเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์เจ้าของธุรกิจ

ภาพรวมอินสตาแกรมทิศทางดี

คุณชวดี วงศ์พยัต หัวหน้าฝ่ายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า นอกจากเข้ามาดูรูป โพสต์รูป แชร์ประสบการณ์ในชีวิตประจำวันแล้ว ผู้ที่เข้ามาใช้งานส่วนใหญ่จะมองหาคอนเทนต์และแบรนด์ที่น่าสนใจ

มีครีเอเตอร์และแบรนด์ทั่วโลกที่ใช้ประโยชน์อย่างหลากหลายและประสบความสำเร็จในการต่อยอดธุรกิจ จากบัญชีผู้ใช้งานกว่า 200 ล้านบัญชีต่อวัน จะเข้าชมข้อมูลของธุรกิจอย่างน้อย 1 โปรไฟล์/วัน และมีผู้ใช้งาน Stories สูงถึง 500 ล้านคนต่อวัน

ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีการใช้งานอินสตาแกรมสูง แต่ก็ไม่สามารถบอกตัวเลขที่ชัดเจนในประเทศไทยได้ และเมื่อถามถึงบัญชีผู้ใช้งานทั่วไปผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจรายย่อย ทางอินสตาแกรมก็ไม่สามารถบอกการโอนย้ายที่ชัดเจนได้เช่นกัน แต่มั่นใจว่าจะมีการเข้ามาใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนไทยชอบขายของบนไอจี

นอกจากนี้ ผู้คนค้นหาแฮชแท็กเกี่ยวกับสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น #เสื้อผ้าเกาหลี #เสื้อผ้าแนวสตรีท #กางเกงขายาว #พร้อมส่ง #เสื้อผ้าราคาถูก #กางเกงยีนส์ เป็นต้น โดยแฮชแท็ก 10 อันดับแรกยังคงเกี่ยวกับเรื่องแฟชั่น ที่สร้างโอกาสให้แก่ร้านค้าขนาดเล็กได้เข้าถึงลูกค้าในประเทศไทยทุกพื้นที่

หรือการไปโพสต์ขายสินค้าผ่านอินสตาแกรมของดาราชื่อดังอย่าง ญาญ่า อุรัสยา, ใหม่ ดาวิกา, ชมพู่ อารยา, ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ก็อาจเพิ่มการติดตามได้ดีขึ้น เพราะคนดังเหล่านี้มีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นทุกวัน และแน่นอนว่าคนชอบอ่านคอมเม้นท์

อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 ที่ผ่านมา ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามในไทยเติบโตขึ้น ร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับปี 2560 คิดเป็นมูลค่า 1.918 แสนล้านบาท ทำให้กลุ่มสินค้าด้านบำรุงผิวหรือสกินแคร์ยังคงเป็นหมวดสินค้าที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด ส่วนตลาดแฟชั่นไทยคาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 1.67 หมื่นล้านบาท

สร้างความสำเร็จทางธุรกิจทุกระดับแบรนด์

ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ Stories, Direct Messege ที่เปิดให้บริการไม่นาน แต่กลับได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ทางทีมอินสตาแกรมพัฒนาความสามารถของเครื่องมือได้ดีขึ้น ผ่านเทคนิคเหล่านี้

  • เลือกการถ่ายภาพหรือวีดีโอแนวตั้ง เพราะจะช่วย Fit Frame มือถือได้ดีว่า
  • Stories นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ควรหัดใช้งานให้เกิดประโยชน์ และกำลังจะกดสั่งซื้อสินค้าผ่านสตอรี่ได้แล้ว
  • ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจให้ครบ เช่น สินค้าเกี่ยวกับอะไร ติดต่ออย่างไร เพื่อให้คนสนใจกดจองหรือโทรสั่งได้ทันที
  • ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ใช้งานได้ฟรี เข้าไปดูว่ามีใครมาส่องธุรกิจของคุณบ้าง กลุ่มเป้าหมาย อายุ ฯลฯ เพื่อทำตลาดได้ตรงจุดแต่ถ้าอยากได้แบบละเอียดสามารถจ่ายเงินซื้อข้อมูลส่วนนี้กับทางอินสตาแกรมได้
  • แฮชแท็กยังคงสำคัญเสมอ ใส่คำที่ข้องเกี่ยวกับแบรนด์หรือสินค้าทุกครั้ง เพิ่มโอกาสทางการค้นหาได้
  • ไม่ใช่สร้างแต่คอนเทนต์ ต้องสื่อสารกับลูกค้าด้วย เมื่อมีคนถามเข้ามาต้องตอบให้ไว ตอนนี้มีเครื่องมือ Quick Reply ช่วยในการตอบคำถามแล้ว นำไปใช้ให้ตรงจุด
  • อย่าลืมใส่ช่องทางการติดต่อทุกครั้ง ควรเป็นเบอร์โทร แชท หรือข้อความที่จะสื่อสารกับเจ้าของแบรนด์หรือแอดมินได้อย่างรวดเร็ว เพราะคนสมัยนี้ตัดสินใจซื้อเร็ว

เครื่องมือ Insight

แม้ว่าลูกค้าจะสามารถสอบถาม สั่งจอง สั่งซื้อสินค้าของคุณได้ แต่ยังไม่สามารถโอนเงินผ่านระบบเพย์เมนท์บนอินสตาแกรมได้ ดังนั้น ควรเปิดบัญชีที่น่าเชื่อถือเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ ในการสั่งซื้อสินค้าว่าจะไม่ถูกหลอก

ใครที่กำลังมองหาโอกาสสร้างรายได้เสริมเล็กๆ น้อยๆ ก็ลองนำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้กัน ซึ่งจะเป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่โลกออนไลน์หรือพนักงานบริษัท แม่บ้านฟูลไทม์ที่อยากได้เงินเพิ่ม ลองหาสินค้ามาซื้อขายบนช่องทางนี้กัน เพราะอินสตาแกรมดีตรงที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่แพลตฟอร์ม แค่ต้องบริหารจัดการเรื่องเพย์เม้นท์และโลจิสติกส์ให้ดีเท่านั้น

 

 

 
Source: thumbsup

The post Instagram เน้น SME แจกฟรีทุกฟีเจอร์ หวังผู้ใช้งานทั่วไปสร้างโอกาสธุรกิจมากขึ้น หลังยอดผู้ใช้งานแตะ 1,000 ล้านคนทั่วโลกแล้ว appeared first on thumbsup.

Infographic: 15 เครื่องมือการตลาดดิจิทัลไม่ควรพลาด

$
0
0

นักยุทธศาสตร์ที่ดีควรมีข้อมูล นักการตลาดดิจิทัลก็ควรมีแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมไว้ในมือ นี่คือ 15 แหล่งข้อมูลที่นักการตลาดดิจิทัลทั่วโลกลงความเห็นว่ามีความสำคัญและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเครื่องมือทั้ง 15 คือความเหมาะสม เพราะวันนี้นักการตลาดดิจิทัลมีเครื่องมือมากมายให้เลือกใช้เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการบุกตลาดออนไลน์ ดังนั้นวิธีการเลือกเครื่องมือที่จะช่วยให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายที่ฝันไว้ ก็ควรต้องเริ่มที่การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการ

อัพเดตเครื่องมือที่ควรปรับปรุง

15 เครื่องมือใน Infographic นี้ บริษัท PageTraffic คัดเลือกมาสำหรับนักการตลาดที่กำลังมองหาเครื่องมือปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ในหน้าผลลัพธ์ของเสิร์ชเอนจิ้น รวมถึงคนที่อยากสร้างโฆษณาดิจิทัลที่ดึงดูดสายตามากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่คนที่ต้องการจัดการช่องทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงการมองหาเครื่องวัดผลเพื่อประเมินกลยุทธ์การตลาด ทั้งหมดนี้มีเครื่องมือที่สามารถตอบโจทย์ได้ดี แถมบางเครื่องมือยังให้ฟรีด้วย

ส่วนหนึ่งของเครื่องมือน่าสนใจที่ PageTraffic แนะนำคือ Google Keyword Planner ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของแบรนด์มีคีย์เวิร์ดที่แข็งแกร่ง ซึ่งหากต้องการฟีเจอร์ที่มากกว่าก็อาจหันมาลองใช้ Serptat ยังมีเครื่องมือที่หลายคนอาจไม่รู้จักเช่น Buzzsumo เพื่อค้นหาไอเดียและแรงบันดาลใจสำหรับเนื้อหาชิ้นต่อไปของแบรนด์ และ Manychat ที่เน้นเรื่องการสร้างบ็อต Messager เพื่อขาย ทำการตลาด และซัปพอร์ตลูกค้า

เครื่องมือฮิตอย่าง Slack ก็ติดทำเนียบของ PageTraffic เพราะนักการตลาดสามารถใช้ Slack เป็นเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยให้ทุกคนในทีมสามารถประสานงานตามกระบวนการที่วางไว้

หากเป็นเครื่องมือด้านโฆษณา Bannersnack ก็เป็นเครื่องมือน่าสนใจในการดึงดูดผู้ชมที่มาขึ้น ขณะที่ Hubspot ก็เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการทำ SEO ยังมี ActiveCampaign ที่โดดเด่นเรื่องการจัดการ e-mail marketing และ Sprout Social ที่มีหลายเครื่องมือทำการตลาดดิจิทัลให้เลือกใช้ในที่เดียว

สำหรับงานวิเคราะห์และวัดผล Google Analytics ถือเป็นเครื่องมือที่ดีและฟรี ส่วนงานด้านการสำรวจออนไลน์นั้นอาจใช้ Survey Anyplace เป็นตัวช่วย ขณะที่งานจัดการโซเชียลมีเดียนั้นเหมาะกับเครื่องมืออย่าง Buffer

ยังมีอีกหลายเครื่องมือที่ PageTraffic แนะนำ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของบริษัท

ที่มา: : PageTraffic

 
Source: thumbsup

The post Infographic: 15 เครื่องมือการตลาดดิจิทัลไม่ควรพลาด appeared first on thumbsup.

ปีหน้าคนไทยจะช้อปออนไลน์กันหมดแล้ว Facebook ดันธุรกิจใช้เครื่องมือฟรีสร้างโอกาสเข้าสู่ดิจิทัลอีโคโนมี

$
0
0

วนเวียนกลับมาครบรอบ 1 ปีสำหรับการปรากฏตัวอีกครั้งของ จอห์น แวกเนอร์ ผู้อำนวยการบริหาร Facebook ประเทศไทย ที่ปีนี้มาสรุปข้อมูลการซื้อขายสินค้าบนช่องทางอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งเปิดผลสำรวจ Zero Friction Future เพื่อให้ธุรกิจสามารถนำเครื่องมือที่ครบวงจรไปใช้งานได้ฟรี

จากผลสำรวจ Zero Friction Future เกี่ยวกับอุปสรรคในแต่ละขั้นตอนการขาย (Friction) พบว่า ผู้บริโภคไทยที่ซื้อสินค้าออนไลน์ยังคงเจออุปสรรคในแต่ละขั้นตอน ทำให้การเติบโตทางอีคอมเมิร์ซยังไม่สมบูรณ์เสียที

โดยหนึ่งในอุปสรรคที่เกี่ยวข้องคือ โฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการ โดย 63% ของลูกค้ามีแนวโน้มจะไม่สนใจสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ในขณะที่  64% ของลูกค้าออนไลน์ต้องการให้แบรนด์นำเสนอสินค้าที่ตรงกับความคาดหวังของพวกเขา

นอกจากนี้ ลูกค้ากว่า 65% ยังคาดหวังว่าโฆษณาและราคาสินค้าในหน้าร้านค้าปลีกจะมีความสอดคล้องกันเมื่อเลือกซื้อผ่านช่องทางออนไลน์

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวยังคาดการณ์ว่าปัญหาสำคัญที่กลายมาเป็นอุปสรรคของธุรกิจในการซื้อสินค้าออนไลน์ ที่มีมูลค่าสูงถึง 3.25 แสนล้านเหรียญสหรัฐนั้น ในส่วนของประเทศไทยสูญเสียโอกาสเดียวกันนี้ถุง 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หากอุตสาหกรรมหลักที่เกี่ยวข้องอย่างอีคอมเมิร์ซ ค้าปลีกและบริการด้านการเงิน แก้ไขปัญหานี้ได้ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากถึง 2,630 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ในปี 2563 จะมีการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้นและ 85% ของการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า จะถูกจัดการด้วยระบบหลังบ้านแบบอัตโนมัติมากขึ้น

แค่ใช้ Facebook ก็เท่ากับเข้าสู่ออนไลน์แล้ว

แน่นอนว่า การใช้เครื่องมือของ Facebook นั้นฟรี แต่หากธุรกิจต้องการเข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายหรือเจาะเฉพาะบางตลาดที่มีโอกาสในการซื้อ คุณต้องจ่ายเงินอยู่แล้ว แต่การที่ Facebook มีหลายเครื่องมือที่นำไปใช้งานได้แบบไม่ต้องลงทุน ย่อมสร้างโอกาสให้คุณเป็นที่รู้จักและเปิดโอกาสทางการขายบนโลกออนไลน์แล้ว

เนื่องจากว่าผู้บริโภคทั่วโลก “เร็ว” ขึ้นกว่าเดิม การตอบสนองของภาคธุรกิจจึงช้าอีกไม่ได้แล้ว จากผลสำรวจยังเผยอีกว่า 55% ของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะ “อดทน” รอเว็บไซต์ของคุณแสดงผลน้อยกว่า 5 วินาที ถ้าต้องรอนานกว่านั้นก็จะปิดเว็บไซต์ของคุณทันที

หรือถ้ามีการเปิดซ้ำและพบว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพ ข้อมูลในเว็บไม่น่าเชื่อถือหรือประสบการณ์ในการเข้าใช้งานไม่สอดรับกับความต้องการลูกค้ากว่า  44% จะยุติการซื้อสินค้ากับบริษัทนั้นๆ ทันที

รวมข้อมูลลูกค้าของ Facebook

ทางของการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ในเครือของ Facebook นั้น มีข้อมูลเฉลี่ยคือ มีการใช้งานอยู่ที่ 2,700 ล้านครั้งต่อเดือน หรือ 1,500 ล้านครั้งต่อวันจากจำนวนบัญชีทั้งหมดนั้น แสดงให้เห็นว่าคนทั่วโลกมีโอกาสเห็นสินค้าของคุณปริมาณมาก แม้ว่าความสนใจหรืออัลกอริธึ่มที่แสดงผลบน New Feed จะมีเนื้อหาที่แตกต่างกันก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าบน Page หรือ Marketplace ของ Facebook จะต้องแน่ใจว่าสินค้าของคุณมีจำนวนเพียงพอกับที่แสดงผลให้ลูกค้ารับทราบและอัพเดตจำนวนสินค้าในสต็อกได้แบบเรียลไทม์ เพราะหากคุณใส่ข้อมูลว่ามีสินค้าพร้อมจำหน่ายแต่ในความเป็นจริง คุณไม่มีสินค้าคงคลังอยู่ในสต็อกเลย ผู้บริโภคจะมองว่าคุณไม่มืออาชีพ

ดังนั้น ต้องวางแผนการบริหารจัดการให้ครบถ้วนและรอบคอบ หากมีการเปลี่ยนแปลงทั้งตัวสินค้าและธุรกิจก็ต้องแจ้งให้ระบบหน้าบ้านทราบอย่างทันท่วงที ลดการเกิด error ในการขาย

เครื่องมือฟรีที่ควรนำไปใช้งาน

ทั้งนี้ เครื่องมือของ Facebook เอง ที่เปิดให้ใช้งานฟรีและสามารถนำไปปรับใช้ในการขายได้ ประกอบด้วย Stories แบ่งเป็นการใช้งานบน Facebook มีการใช้งาน 300 ล้านคนต่อวัน และบนอินสตาแกรม 500 ล้านครั้งต่อวัน และมีแบรนด์ใช้งาน Stories ในการแสดงเรื่องราวโฆษณามากถึง 3 ล้านครั้งต่อเดือน

Facebook Watch ช่องทางการดูวีดีโอของ Facebook ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่เติบโตไวมาก จากสถิติการใช้งานพบว่าคนทั่วโลกใช้งานแล้วกว่า 400 ล้านครั้ง ส่วนในประเทศไทยก็ติดอันดับการรับชมสูงสุดด้วย

ส่วน Dynamic ADs ก็เป็นการช้อปปิ้งอีกหนทางหนึ่ง ที่เหมาะกับธุรกิจที่จะสามารถโปรโมทสินค้าและสร้างโอกาสทางการขายได้ทันที เพราะมีข้อมูลและภาพประกอบสินค้าไว้หมดแล้ว เมื่อลูกค้าสนใจสามารถกดเลือก Buy Now เพื่อเข้าสู่ Messenger ในการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หากเช็คแล้วสินค้ามีตรงตามความต้องการ สามารถกดชำระเงินผ่าน Messenger ได้ทันที ซึ่งทาง Facebook มีเกตเวย์ร่วมกับธนาคารชั้นนำของไทยแล้ว

ทางด้านของ Messenger ก็ได้กลายมาเป็นช่องทางการสื่อสารหลักของภาคธุรกิจ โดยไทยติด 1 ใน 5 ของการใช้งานสูงสุดทั่วโลก เพื่อสร้างความสัมพันธ์และการสื่อสารที่ดี โดยระบบหลังบ้านของ Facebook ช่วยให้ธุรกิจตอบคำถามเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงทีก่อนจะปิดการขาย ถือว่าเป็นการรักษาโอกาสของธุรกิจให้ยั่งยืนได้ เหมาะกับธุรกิจทุกระดับที่ยังไม่กล้าลงทุนด้านระบบ AI ภายในองค์กรเอง

เทสโก้โลตัสกับอนาคตดิจิทัล

ทาง Facebook ยังได้เชิญคุณมาร์ค รัฟลีย์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารลูกค้า เทสโก้ โลตัส ประเทศไทย มาให้ข้อมูลถึงการนำโซลูชั่น Zero Friction Future ไปใช้งาน ดังนี้

ธุรกิจค้าปลีกเติบโตอย่างรวดเร็ว ถือว่าเป็นความท้าทายที่เจ้าของธุรกิจจะต้องปรับตัว ซึ่งการที่เทสโก้โลตัสเป็นทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวิเนียนสโตร์และช้อปปิ้งออนไลน์ เราต้องสร้างประสบการณ์ในการซื้อขายให้ดีไม่ต่างกับการเดินทางมาซื้อเอง เพราะทุกช่องทางถือว่าเป็นโอกาสทางการขายทั้งสิ้น ยิ่งลูกค้าคาดหวังมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องรับฟังและตอบสนองให้ทันต่อความต้องการมากเท่านั้น

ทั้งนี้ การปรับเข้ามาสู่โลกออนไลน์ของธุรกิจคงเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นโอกาสที่ไม่มีใครมองข้าม ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการตลาดหรือนักการตลาดดิจิทัลก็ต้องศึกษากระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงให้ทัน เพื่อที่จะไม่เสียโอกาสทางการขายที่เกิดขึ้นทุกวัน

 

 
Source: thumbsup

The post ปีหน้าคนไทยจะช้อปออนไลน์กันหมดแล้ว Facebook ดันธุรกิจใช้เครื่องมือฟรีสร้างโอกาสเข้าสู่ดิจิทัลอีโคโนมี appeared first on thumbsup.

Infographic: ทุกเรื่อง voice search ที่นักการตลาดควรรู้

$
0
0


voice search หรือการค้นหาด้วยเสียงยังเป็นดินแดนลึกลับที่นักการตลาดหลายคนยังไม่มีข้อมูลอินไซต์มากนัก ดังนั้น Infographic นี้จึงรวบรวมสิ่งที่นักการตลาดควรรู้เกี่ยวกับวงการค้นหาด้วยเสียง ในวันที่ผู้ใช้หลายคนเอ่ยถามคำถามกับผู้ช่วย AI แทนที่จะพิมพ์คำถามเหล่านั้นลงในเสิร์ชเอ็นจิ้น

พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลที่เปลี่ยนไปกลายเป็นความจำเป็นที่ทำให้ผู้จัดการแบรนด์ทั่วโลกต้องปรับตัวตามให้เหมาะสม โดยเฉพาะรูปแบบการทำการตลาดบนเครื่องมือข้อหาข้อมูล เพราะวันนี้สถิติชัดเจนแล้วว่า 89% ของผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกับผู้ช่วย AI ล้วนต้องการให้ระบบค้นหาข้อมูลอัตโนมัติทั้งสิ้น ขณะที่ 88% บอกว่าใช้เพื่อถามคำถาม ซึ่ง 71% ของคนกลุ่มนี้บอกว่าติดใจความสบาย และจะเลือกพูดคำแทนที่จะพิมพ์ในเสิร์ชเอนจิ้นแบบเดิม

ไม่เพียงวลี “OK, Google …,” หรือ “ Hey, Siri …” และ “Alexa …” จะเป็นจุดเริ่มต้นการสืบค้นออนไลน์ของผู้บริโภคจำนวนมาก แต่ผู้จัดการแบรนด์ควรรู้ว่านี่คือโอกาสต่อยอดการสนทนาถึงแบรนด์ในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อการค้นหาด้วยเสียงกลายเป็นเรื่องธรรมดา การคิดหาทางให้แบรนด์มีโอกาสสนทนา มากกว่าการถามตอบแบบจบเร็วจะเพิ่มโอกาสในการสร้างแบรนด์ใด้จริง

ขณะนี้เทรนด์การใช้ voice search ในหลายตลาดเริ่มขยายไปถึงการค้นหาบทวิจารณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการที่สนใจซื้อ ดังนั้นนักการตลาดที่ปรับกลยุทธ์ตามเทรนด์ฮิตของผู้ช่วยดิจิตอลเหล่านี้ ก็อาจจะไม่พลาดโอกาสในการคว้าลูกค้ากลุ่มใหญ่ในอนาคต

Infographic จากเอเจนซี่โฆษณา MDG ชิ้นนี้แนะนำแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญและเว็บไซต์ของแบรนด์ เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคที่ต้องการแสดงออกด้วยคำถาม แทนที่จะพิมพ์ออกมา ว่านักการตลาดควรไม่มองที่คีย์เวิร์ดหรือคำหลักที่ตรงกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น แต่ควรขยายให้รวมถึงการค้นหาบทสนทนาที่กว้างขึ้น

ที่สำคัญ คือนักการตลาดควรท่องให้ขึ้นใจว่าผู้ช่วยเสียงหรือ voice assistants ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานที่เท่ากันหรือเหมือนกัน ดังนั้นนักการตลาดควรปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับบริการ voice assistants ของแต่ละค่าย ซึ่งใน Infographic นี้มีแนะนำข้ออมูลเชิงลึกเพิ่มเติมไว้ด้วย รวมถึงอีกหลายสถิติที่แสดงรายละเอียดความสำคัญของการค้นหาด้วยเสียง โดยทุกสถิติตอกย้ำว่านักการตลาดต้องปรับตัวในวันที่คน 70% ต้องการค้นหาด้วยเสียง มากกว่าพิมพ์ข้อความ.

ที่มา: : PRDaily

 
Source: thumbsup

The post Infographic: ทุกเรื่อง voice search ที่นักการตลาดควรรู้ appeared first on thumbsup.

กันยานี้!! จะไม่มี LINE@ อีกต่อไป ทำความรู้จักเครื่องมือใน LINE Official Account อัดแน่นทุกการสื่อสาร

$
0
0

มีข่าวคราวออกมาตลอดตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ถึงการปรับฟีเจอร์และค่าบริการของ LINE Official Account (เดิมชื่อ LINE@) ที่ทีมงาน Thumbsup ได้นำเสนอไปแล้วนั้น วันนี้ (8 พฤษภาคม 2562) ทาง LINE ประเทศไทยก็ได้ฤกษ์ชี้แจงถึงฟีเจอร์และค่าบริการต่างๆ ให้ได้ทราบอย่างเป็นทางการ บอกได้เลยว่างานนี้ SME ต้องปรับตัวรับโอกาสใหม่ให้ทัน เพราะเขาอัดแน่นเครื่องมือและค่าบริการพร้อมๆ กัน

คุณนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและสื่อโฆษณา (Commercial Director) LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา LINE ได้ประกาศรวม LINE@ เข้ากับ LINE Official Account เพื่อให้ผู้ใช้งาน LINE@ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบแอคเคาท์ของตัวเองได้

และจะทยอยโอนย้ายแอคเคาท์ใน LINE@ ทั้งหมดมาเป็นรูปแบบใหม่นี้ภายในเดือนกันยายน 2562 ส่วนผู้สมัครใช้งานใหม่ หลัง 16 เมษายน 2562 จะปรับเป็น LINE Official Account ทันที

ฟีเจอร์ใหม่ครบวงจรกว่าเดิม

ทางด้านของเครื่องมือสื่อสารที่สามารถใช้งานได้นั้น ประกอบด้วย

1. ผู้ใช้งานสามารถสร้างศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรผ่าน LINE ได้เอง ภายในช่องทางเดียว ใส่รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและข้อมูลติดต่อทั้งหมดของแบรนด์คุณได้เอง และลิ้งไปยังโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้ด้วย

2. ระบบจัดการลูกค้าจะฉลาดขึ้น ช่วยปิดการขายได้ดีกว่าเดิม (ลูกค้าคนไหนจ่ายช้า แท็คลิสต์คนเหล่านั้นและตามเรื่องต่อได้แบบเฉพาะกลุ่ม) คัดกรองลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดีกว่าเดิม แบรนด์ที่มีสาขาจำนวนมากสามารถสร้างแอคเคาท์เฉพาะพื้นที่หรือกลุ่มส่วนตัวเพื่อการบริหารจัดการได้ดีขึ้น รวมทั้งบริหารจัดการข้อมูลให้ตรงกับธุรกิจของคุณได้ดีขึ้น

3. เปิด API ให้เชื่อมต่อกับ LINE ได้อย่างอิสระ เพิ่มโอกาสให้นักพัฒนาสร้างสรรค์รูปแบบบริการได้ตามต้องการ เพราะแต่ละธุรกิจต้องการเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกในการสื่อสารต่างกัน สำหรับการเชื่อมระบบการทำงาน บริหารจัดการต่างๆ เช่น ระบบ CRM, Sale, Logistics, Finance นำไปเชื่อมต่อใช้งานได้เลย แต่ถ้าหากแบรนด์ต้องการที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ แต่ทำไม่เป็น สามารถติดต่อเอเจนซี่ที่ดูแลบริการนี้ได้ (ลิ้งเอเจนซี่)

ข่าวดีสำหรับแม่ค้าออนไลน์

นอกจากนี้ ช่วงไตรมาสที่ 3-4 จะมีฟีเจอร์ช้อปปิ้งเพิ่มเติมขึ้นมาสำหรับธุรกิจที่ใช้บริการ LINE Official Account และต้องการที่จะให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้เลย โดยสามารถสั่งสินค้า จ่ายเงินและส่งสินค้าผ่านบริการ Rabbit LINE Pay และ LINE MAN ได้เลย หรือถ้ามีความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ด้านการเงินและขนส่ง รายอื่นอยู่ก็สามารถใช้งานร่วมกันได้ด้วย LINE ไม่ปิดกั้น

ทำไมต้องปรับระบบใหม่

เมื่อถามถึงเหตุผลในการปรับโฉมบริการใหม่ในครั้งนี้ ทางคุณนรสิทธิ์เล่าว่า มีแบรนด์ส่งข้อความ Broadcast ต่อวันมากถึง 60 ข้อความ ถือว่าเยอะมากเกินความจำเป็นและรบกวนผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งการปรับระบบครั้งนี้จะช่วยคัดกรองข้อมูลให้ผู้ใช้งานมากขึ้น ลดปัญหาการบล็อกและเพิ่มคุณค่าให้แบรนด์มากขึ้น

ทางด้านจำนวนของผู้ใช้งานทั้งหมดมีผู้ใช้ LINE@ เดิมมากถึง 2.7 ล้านราย ส่วน LINE Official Account มีเพียง 300 ราย ทางบริษัทคาดหวังว่าสิ้นปีนี้จะมีผู้ใช้ LINE Official Account (ที่รวมเข้ากับ LINE@ แล้ว) มากเพิ่มขึ้น 2 เท่า

ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ใช้งาน LINE@ แบ่งเป็น กลุ่มแฟชั่น 20-30% กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ทั้งแบบมีหน้าร้านและสั่งออนไลน์ 15% กลุ่มความสวยความงาม แบบบริการและผลิตภัณฑ์ 15% ที่เหลือจะคละกัน ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า อุปกรณ์กีฬาและแก๊ดเจ๊ต เป็นต้น

นอกจากนี้ จากเดิมที่จะจำกัดการโพสต์ข้อความบน Timeline ก็จะสามารถโพสต์ได้แบบ Unlimited ซึ่งไม่ได้มีข้อมูลการโพสต์บน Timeline ที่ชัดเจนมากนัก แต่มีตัวอย่างจากจำนวนประชากรในญี่ปุ่น 100 ล้านคน ทราฟิกในการโพสต์บน Timeline ของคนไทยจำนวนใกล้เคียงกับการโพสต์ที่ญี่ปุ่นเลย

ทางออกของพับบลิชเชอร์

ส่วนกลุ่ม Publisher ที่เคยใช้งาน LINE@ เดิมในการสื่อสารกับผู้ติดตามนั้น ทาง LINE อยากให้ย้ายไปใช้บริการ LINE IDOL ที่จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้ติดตามได้ดีกว่า และช่วยให้ผู้ที่สนใจได้รับข่าวสารจาก Publisher ได้เต็มที่กว่า ซึ่งการใช้งาน LINE IDOL นี้จะไม่ทับซ้อนกับ LINE TODAY ที่เป็นฟีดข่าวประจำวันแบบทั่วไป

เทียบราคา LINE Official Account กับ LINE@

อ้างอิงข้อมูล LINE ประเทศไทย

 
Source: thumbsup

The post กันยานี้!! จะไม่มี LINE@ อีกต่อไป ทำความรู้จักเครื่องมือใน LINE Official Account อัดแน่นทุกการสื่อสาร appeared first on thumbsup.

9 สิ่งที่นักการตลาด(และคุณ)ควรรู้จากงาน Google I/O 2019

$
0
0

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา Google ได้แถลงเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ในงานที่จัดขึ้นทุกปีอย่าง Google I/O 2019 นอกจากการพัฒนาระบบ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ทำให้ระบบค้นหา (Search Engine) เก่งกาจมากขึ้น มาดูกันว่า 9 สิ่งที่นักการตลาดและคุณควรรู้จากงานนี้มีอะไรบ้าง

1. AR จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับการค้นหา

ระบบค้นหาของกูเกิลที่เราคุ้นเคยกันมานับสิบปี กำลังจะทำให้ผลการค้นหาน่าสนใจมากขึ้น ด้วยการรองรับเทคโนโลยี AR เพื่อให้เราสามารถเห็นภาพของผลการค้นหาในรูปแบบของวัตถุสามมิติ ขนาดเท่าของจริง หมุนดูได้ทุกมุม และสามารถนำมาจำลองวางในพื้นที่จริงได้

เช่น การค้นหารองเท้าสักคู่ ก็สามารถนำมาลองวางที่ห้อง เทียบกับชุดที่จะใส่ดูได้ ว่ามันเข้ากันอย่างที่เราตั้งใจหรือไม่ ก่อนที่จะไปตัดสินใจเลือกซื้อได้

เห็นได้จากการสาธิตการใช้งานแอป Google Lens ในงาน I/O ปีนี้ ทำให้ผู้ใช้มือถือ Android สามารถให้กูเกิลช่วยวิเคราะห์ข้อมูลตรงหน้าได้แบบทันที

2. Google Lens จะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันมากขึ้น

Google ยังเพิ่มความสามารถใหม่ๆ โดยยุบขั้นตอนยุ่งยากในชีวิตประจำวัน เช่น สามารถใช้กล้องส่องเมนูที่ร้านอาหาร เพื่อแตะดูได้เลยว่า เมนูไหน มีหน้าตาเป็นอย่างไร มีรีวิวจากคนที่เคยมาทานแล้วกี่คะแนน โดยไม่สลับแอพไปมาเพื่อค้นหา

หรือสามารถใช้กล้องส่องบิลร้านอาหาร เพื่อคำนวนว่าต้องทิปเท่าไหร่ หรือเลือกจำนวนคนที่ทานด้วยกัน เพื่อให้แอพคำนวนได้เลยว่าหารแล้ว ต้องจ่ายคนละเท่าไหร่ จบในแอพเดียว

หลังจากนี้กำแพงภาษาก็ถูกทำลายลง เพราะแค่ใช้กล้องมือถือส่องไปที่ป้าย ก็สามารถแปลภาษาแบบได้ทันที รวมถึงสามารถแตะให้อ่านป้ายให้ฟังได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาของประเทศที่เราจะเดินทางไป

เปิดทางให้ทุกคน สามารถเข้าใจสิ่งใหม่ได้ในรูปแบบที่ง่ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

3. สั่งจองบริการด้วยเสียงได้แบบม้วนเดียวจบสรอพ

ในงาน I/O ปีที่แล้ว Google เปิดตัว Duplex เทคโนโลยีที่ช่วยให้ Google Assistant ทำงานได้เก่งกาจยิ่งขึ้น โดยโชว์ว่ามันสามารถเป็นผู้ช่วย SME ให้สามารถรับโทรศัพท์แทนเจ้าของร้านไปแบบอัตโนมัติ และเปิดตัวเป็นแพลตฟอร์ม CallJoy ในเวลาต่อมา

ปีนี้ Google เปิดตัวนวัตกรรมใหม่อีกในชื่อ Duplex on the web ทำให้ Google Assistant สามารถดำเนินการบางอย่างให้เสร็จสรรพได้ทันที โดยเราไม่จำเป็นต้องกดหน้าจอที่ปุ่มหรือคีย์บอร์ดต่อไป ตัวอย่างให้คลิปด้านบนแสดงให้เห็นว่า Duplex จะช่วยให้เราสามารถจองรถล่วงหน้าได้ทันที โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำ เพราะเรามีข้อมูบส่วนตัวเก็บไว้อยู่แล้ว แค่บอกว่าจะให้ทำอะไร ระบบก็พร้อมดำเนินการให้ทันที

ช่วยให้การใช้บริการต่างๆ กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิม ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด

4. ตั้ง Voice command ในแบบของตัวเองได้ดีขึ้น

ข้อมูลของแต่ละคน ย่อมมีความแตกต่างกัน ศัพท์คำเดียวกัน อาจมีความหมายคนละอย่างกัน เช่น คำว่า “บ้านแม่” ของแต่ละคน ก็เป็นคนละข้อมูลและสถานที่กัน ทำให้ Google เปิดตัว ‘Personal References’ เพื่อให้เข้าใจบริบทการใช้งาน Voice Recognition ของแต่ละคนได้ใกล้เคียงกับภาษาที่มนุษย์เข้าใจ

เช่น ถามกูเกิลว่า “จากที่นี่ไปบ้านแม่ ใช้เวลาเท่าไหร่” กูเกิลก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า เรากำลังจะเดินทางไปที่บ้านคุณแม่ คำนวนเวลาประกอบกับข้อมูลจราจร และตอบกลับเส้นทางมาให้ได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ กูเกิลยังเปิดเผยโปรเจค Euphonia ระบบ Voice Recognition สำหรับผู้พิการทางการออกเสียง เช่น ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่ไม่สามารถออกเสียงเป็นภาษาได้อย่างชัดเจน ก็สามารถใช้เทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียงได้เช่นกัน

5. Live Caption ขึ้นแคปชันได้ทันทีไม่ต้องใส่เอง

อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญที่ถูกเปิดตัวในงาน I/O ปีนี้ คือ ‘Live Caption’ หรือระบบการทำซับไตเติ้ล (Subtitle) อัตโนมัติให้กับทุกคลิปวิดีโอ หรือแม้แต่ Podcast หากนำมาเล่นบนมือถือ Android ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกเปิด Live Caption โชว์ซับไตเติ้ลได้อัตโนมัติ รองรับหลายภาษา

แน่นอนว่าฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นผลดีต่อกลุ่มคนที่พิการทางการได้ยินที่มีจำนวนหลายล้านคนทั่วโลก สามารถเข้าถึงคอนเทนต์วิดีโอได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องการจะดูวิดีโอแบบปิดเสียงในขณะเดินทาง ก็สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้เช่นกัน

6. ให้ความสำคัญกับ ‘ข่าว’ และ ‘Podcast’ มากขึ้น

ปกติแล้วแอปและเว็บ Google News จะสามารถกดตรงปุ่ม View full coverage เพื่อดูว่าแต่ละสำนักข่าวรายงานเหตุกาารณ์ออกมาเป็นอย่างไร และดูได้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาต่อเนื่องได้อีกบ้าง ซึ่งหลังจากนี้ฟีเจอร์ดังกล่าวจะมาปรากฎบนหน้าค้นหาของ Google แล้ว

รวมถึง Google ประกาศว่า Podcast ที่เพิ่มเข้าแอป Google Podcast จะถูกเพิ่มเข้าสู่หน้าค้นหาของ Google ด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ Google ถอด Podcast ที่อยู่ในระบบออกมาเป็น text ทำให้ค้นหาผ่านแอปดังกล่าวได้มาก่อนแล้ว

7. App Actions ในแอป Google เพิ่มขึ้นมาอีก 4 หมวด

งาน I/O ปีก่อน Google เปิดตัว App Actions ฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถกำหนดการทำงานของแอปหรือแพลตฟอร์มต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้อัตโนมัติ ล่าสุดในงาน I/O ปีนี้ เปิด App Actions เพิ่มขึ้นมาอีก 4 หมวด ได้แก่ สุขภาพและการออกกำลังกาย (Health and fitness), การเงินและธนาคาร (Finance and banking), การสั่งอาหาร (Food ordering) และการเรียกรถจากบริการต่างๆ (Ridesharing)

นอกจากนี้ Google ยังเตรียมเปิดให้นักพัฒนาแอป สามารถสร้างคำสั่งเรียกใช้แอปของตัวเองผ่าน Google Assistant ได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ คำสั่งที่คุณสามารถเรียกใช้ได้ก็เช่น

  • ส่งเงิน จ่ายบิล และดูยอดเงินในบัญชีได้
  • จองรถ(จากบริการ Ridesharing) ติดต่อคนขับ และตรวจสอบสถานะคนขับได้
  • สั่งอาหาร และตรวจสอบสถานะการสั่งอาหารได้
  • สั่งให้เรนิ่มหรือหยุดการบันทึกการออกกำลังกายได้
  • บันทึกการทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มต่างๆ และตอบคำถามด้านโภชนาการได้

ดูคำสั่งอื่นๆ ที่สามารถพัฒนาได้ที่ลิงก์นี้

8. โฆษณา Google บนแอป จะไปโชว์ในฟีดหน้าแรกของ YouTube ได้

Google App Campaign (เดิมชื่อ Universal App Campaigns) เปิดตัววิธีการ bidding (เสนอซื้อ) โฆษณาใหม่จากเงินที่มีอยู่ โดยเปิดตัว Target Return On Ad Spend (tROAS) แบบอัตโนมัติ โดยอัลกอริทึมจะปรับราคาเสนอให้สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อแสดงโฆษณาที่มีแนวโน้มใช้เงินมากขึ้น โดยคำนวณจากยอดเงินที่ใช้ใน In-App Purchase ที่ได้ติดตั้งไปโดยจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป

นอกจากนี้คลังโฆษณาของ YouTube อย่าง App ad inventory (บรรดา Publisher ที่เปิดให้เอาโฆษณามาลงแล้วเอาไปแสดงบนแอป) ตอนนี้เปิดให้นำโฆษณาจากตรงนี้ไปแสดงบนฟีดหน้าแรกของ YouTube และบน In-Stream Video สำหรับผู้ลงโฆษณา โดยในแคมเปญจะต้องมีแนวภาพแนวนอนหนึ่งอันและวีดีโออย่างน้อยหนึ่งตัว

9. เน้นสร้าง Privacy แบบจริงจัง เห็นข้อมูลผู้ลงโฆษณาได้มากขึ้น

ที่ผ่านมา Google ถูกตั้งคำถามถึงการนำข้อมูลการใช้งานอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าคำค้นหาของผู้ใช้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวนผลเรื่องโฆษณา ไม่แปลกที่ผู้ใช้จะรู้สึกไม่มั่นใจถึงความปลอดภัยของข้อมูลที่ Google เก็บไว้ ทำให้ Google ขยับตัวเรื่องของความเป็นส่วนตัวด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใน Android Q และเพิ่มเรื่องของความโปร่งใสในการโฆษณา (Ads transparency) มากขึ้น

โดย Google ระบุว่ากำลังพัฒนา Extension สำหรับเว็บเบราเซอร์ โดยมันจะสามารถแสดงข้อมูลให้เห็นว่าโฆษณาตัวนี้มาจากบริษัทไหน รวมถึงจะบอกได้ว่าโฆษณาตัวนี้ใช้ข้อมูลอันไหนของผู้ใช้มาช่วยในการแสดงผลบ้าง โดยข้อมูลดังกล่าวจะเหมือนการกด ‘Why this ad’ บนโฆษณา แต่การดูผ่าน Extension ก็ถือว่าสะดวกสำหรับบุคคลทั่วไปอยู่พอสมควร

สรุป

Google ย้ำเสมอว่าภารกิจของบริษัท คือ การจัดการข้อมูลให้เกิดประโยชน์ และให้ทุกคนบนโลกสามารถเข้าถึงได้ ถึงวันนี้ มีผู้คนประมาณครึ่งโลก ที่สามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ แต่ภารกิจของกูเกิล ยังเหลือหนทางอีกยาวไกล แม้ว่าเทคโนโลยีหลายอย่างจะพัฒนามาไกลมาก แต่ปัจจุบันกระแสเรื่องของความเป็นส่วนตัว ก็ยังเป็นประเด็นที่หลายบริษัท รวมถึง Google ยังหาจุดสมดุลของเรื่องความเป็นส่วนตัวให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการอยู่ร่วมกันได้ต่อไป

ที่มา : Vantage (1) (2), Search Engine Journal (1) (2) (3) และ Google (1) (2) (3)

 
Source: thumbsup

The post 9 สิ่งที่นักการตลาด(และคุณ)ควรรู้จากงาน Google I/O 2019 appeared first on thumbsup.


นีลเส็นเผยงบโฆษณาประจำเดือนเมษายน แบรนด์ยังลงโฆษณาต่อเนื่องไม่กระทบวันหยุดยาว

$
0
0

เม็ดเงินสื่อโฆษณาในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยังเรียกว่ามีทิศทางการลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งที่ตลอดทั้งเดือนมีวันหยุดยาวหลายเทศกาล เห็นได้ชัดจากการใช้งบเพิ่มของ กลุ่มธนาคาร น้ำอัดลมและมือถือ ส่วนช่องทางที่ใช้ในการโฆษณานั้น ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ภาพรวมการใช้งบของแบรนด์

สำหรับเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางนีลเส็น ยังคงสรุปข้อมูลสื่อโฆษณาอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของ 10 แบรนด์ที่ใช้งบสื่อโฆษณาของปี 2019 เทียบกับ 2018 ในช่วงเดียวกัน พบว่า Sanook Shopping ยังคงมาแรง ใช้งบกว่า 140,961,000 บาท ในขณะที่ TV Direct ใช้ลดลงจาก 191,368,000 เมื่อปี 2018 เหลือเพียง 139,604,000 บาทในปี 2019 ส่วนทาง O Shopping ก็ยังคงไต่มาเรื่อยๆ จาก 3,457,000 บาท เมื่อปี 2018 เพิ่มมาเป็น 89,945,000 บาทในปี 2019

ทางด้านของสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภค น้ำอัดลมชื่อดังอย่าง Coke และ Pepsi ตีคู่กันมา โดยเมื่อปี 2018 โค้กใช้งบไป 75,601,000 บาท มาปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 100,340,000 บาท ในขณะที่ Pepsi ปีที่แล้วใช้ไป 42,144,000 บาท ส่วนปีนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 99,053,000 บาท

และที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างน่าสนใจคือ ธนาคารออมสิน ที่ใช้งบโฆษณาในปีที่แล้ว 94,556,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 104,669,000 บาท คาดว่าจะมาจากการทำสื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์หลายช่องทาง

 

ภาพรวมการใช้สื่อ

แม้ว่าจะเพิ่งผ่านพ้นข้อสรุปการคืนช่องของทีวีดิจิทัลไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ภาพรวมการใช้สื่อโฆษณาทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ กลับมีทิศทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าพ้นจุดอิ่มตัวไปแล้ว โดยช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีการใช้งบบนสื่อโฆษณาทางทีวีอยู่ที่ 5,550 ล้านบาท แต่ปี 2019 นี้ เพิ่มขึ้นมาเป็น 5,726 ล้านบาท

เช่นเดียวกับสื่อกลางแจ้งและสื่อเคลื่อนที่ ที่มีการลงโฆษณาเพิ่มขึ้น โดยสื่อกลางแจ้งมีการลงโฆษณาเพิ่มขึ้นจาก 561 ล้านบาทในปี 2018 มาเป็น 573 ล้านบาทในปี 2019 ส่วนสื่อเคลื่อนที่ จากปี 2018 มีเม็ดเงินอยู่ที่ 488 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเป็น 501 ล้านบาทในปี 2019

ในขณะที่ช่องทางอื่นๆ การใช้งบต่างก็ลดลงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ ภาพยนตร์หรืออินเทอร์เน็ต สิ่งที่น่าสนใจคืองบการกลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนังสือพิมพ์ ลดลงไปจาก 449 ล้านบาทในปี 2018 เหลือเพียง 348 ล้านบาทในปี 2019 และแมกกาซีนจาก 113 ล้านบาทในปี 2018 เหลือเพียง 82 ล้านบาทในปี 2019 แน่นอนว่าปัจจัยที่ลดเป็นเพราะจำนวนสื่อสิ่งพิมพ์ในท้องตลาดลดจำนวนลงไปอย่างต่อเนื่อง

ทิ้งท้ายด้วยสื่อออนไลน์ที่มีการใช้จ่ายลดลง จาก 126 ล้านบาท เหลือเพียง 99 ล้านบาท อาจะเป็นเพราะการปรับปรุงระบบและอัลกอริธึ่มของแพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้แบรนด์ต่างก็ชะลอตัวที่จะลงโฆษณา เพื่อลดปัญหาในการเช็ค Reach ที่กระทบกับการทำตลาดออนไลน์ก็เป็นได้

 

 

หมายเหตุสำคัญ

สื่อกลางแจ้ง (outdoor) และสื่อเคลื่อนที่(transit):มีการรวมข้อมูลจาก  JCDecaux สำหรับข้อมูลจากสื่อในสนามบินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 และข้อมูลของสื่อ outdorr และ transit จาก  JCDecaux ได้ถูกรวมเข้าไว้ในรายงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560

นีลเส็นได้มีการเพิ่มพื้นที่การเก็บข้อมูลสื่อกลางแจ้ง (outdoor) เช่นสื่อเคลื่อนที่(transit),ป้ายบิลบอร์ด, ป้ายโฆษณาบนทางเท้า, สื่อในสนามบิน และอื่นๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมปี2559  เป็นต้นมา

อินเตอร์เน็ท – ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2559 นีลเส็นได้มีการขยายการเก็บข้อมูลโมษณาผ่านสื่อ อินเตอร์เน็ทโดยครอบคลุม 50 เว็บไซต์ยอดนิยม และ 10  เว็บไซต์ยอดนิยมบนมือถือ

สำหรับภาพรวมการใช้งบโฆษณาผ่านสื่ออินเตอร์เน็ททั้งหมดกรุณาอ้างอิงข้อมูลจากDAAT

สื่อในห้าง – นีลเส็นได้มีการเพิ่มข้อมูล สื่อวิทยุในห้าง Big C และ 7 Eleven เข้ามาในฐานข้อมูล ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559

ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 ข้อมูลของสื่อในห้างTesco Lotus และ Big C ไม่ได้รวมอยู่ในฐานข้อมูลของนีลเส็น

ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2559 เป็นต้นมา ได้มีการเพิ่มสื่อที่บริหารจัดการโดยบริษัท Plan B เข้ามาในฐานข้อมูลของสื่อกลางแจ้ง, สื่อเคลื่อนที่, และสื่อในห้าง

 
Source: thumbsup

The post นีลเส็นเผยงบโฆษณาประจำเดือนเมษายน แบรนด์ยังลงโฆษณาต่อเนื่องไม่กระทบวันหยุดยาว appeared first on thumbsup.

เปิดตัวเครื่องมือรัน Facebook Ads อัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

$
0
0

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Facebook เปิดตัวเครื่องมือรันโฆษณาอัตโนมัติ, ระบบจัดการนัดหมาย และเครื่องมือตัดต่อวิดีโอ เพื่อช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง

โดยบริษัท Facebook ระบุว่าเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้การทำธุรกิจกลับมาดีและลื่นไหลได้มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้งานและใช้ได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งข้อมูลภายในบริษัทเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาระบุว่า มีกลุ่มธุรกิจบนแพลตฟอร์มของตัวเองมากถึง 90 ล้านรายแล้ว

เครื่องมือรันโฆษณาอัตโนมัติ

Facebook เรียกเครื่องมือรันโฆษณาอัตโนมัติว่า Automated Ads โดยทำให้การลงโฆษณาเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงตอบคำถามแค่ไม่กี่คำถาม โดยหลังตั้งโฆษณาจะสามารถไปขึ้นได้ทั้งบน ,Audience Network (แพลตฟอร์มโฆษณาของ Facebook), Instagram และ Facebook

โดย Automated Ads มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ อย่างเช่น

  • สร้างรูปแบบของโฆษณาได้ต่างกันถึง 6 แบบ อัตโนมัติ
  • การเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Audience options) หรือคำแนะนำต่างๆ (Recommedations) จะมาจากข้อมูลบนเพจที่มีอยู่
  • งบประมาณในการลงโฆษณาจะคำนวณจากเป้าหมาย (Goal) ที่เราตั้งไว้
  • มีการแจ้งเตือน (Notifications) คอยบอกว่าโฆษณาของเราทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

ระบบจัดการนัดหมาย

ระบบและเครื่องมือตัวถัดมาที่ Facebook เปิดตัว คือ ระบบจัดการนัดหมายที่สามารถใช้ได้ทั้งบน Facebook และ Instagram ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงโฆษณา Facebook Ads ได้เลย

โดยฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถ

  • กดรับนัดหมายที่ร้องขอเข้ามาได้ทันทีจากทางออนไลน์
  • ส่งข้อความแจ้งเตือนลูกค้าว่ามีนัดหมายได้ผ่าน Messenger หรือ SMS
  • ปรับรายชื่อของบริการที่มีได้
  • เพิ่มชั่วโมงเปิด-ปิดในการให้บริการได้
  • Sync นัดหมายต่างๆ ที่เข้ามาผ่าน Facebook ให้มาขึ้นในปฏิทินส่วนตัวของเราที่อยู่บนออนไลน์ได้

เครื่องมือตัดต่อวิดีโอ

เครื่องมือตัวสุดท้ายที่ Facebook แนะนำ คือ เครื่องตัดต่อวิดีโอ (Video Editing) บน Facebook Ads ช่วยให้การตัดต่อวิดีโอกลายเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น โดยจะเพิ่มสามเครื่องมือเข้ามา ได้แก่

  • การตัดครอปภาพบางส่วนออกให้อัตโนมัติ (Automatic cropping)
  • การตัดวิดีโอบางส่วนออก (Video trimming)
  • การวางข้อความและภาพซ้อนเข้าไปได้ (Image and text overlays)

ที่มา : Search Engine Journal และ Facebook Business

 
Source: thumbsup

The post เปิดตัวเครื่องมือรัน Facebook Ads อัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก appeared first on thumbsup.

Infographic : เจาะลึกตลาดคนเหงา กลุ่มผู้บริโภคที่นักการตลาดและคุณไม่ควรมองข้าม

$
0
0

“ความเหงา” เป็นสิ่งที่พบอยู่ในคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ Social Media กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ทำให้หลายๆ คนมีการพบปะพูดคุยกันแบบเห็นหน้าน้อยลง และใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมากขึ้น ส่งผลให้กระแสคนเหงามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน

วันนี้ทีมงาน thumbsup จึงนำข้อมูลจากงานวิจัย “Lonely in the deep เจาะลึกตลาดคนเหงา” ของนักศึกษาวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาการตลาด รุ่น 20B มานำเสนอให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับชมกันครับ

เกณฑ์การทดสอบความเหงา

การออกแบบงานวิจัยครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ

  1. วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ผ่านการทำแบบสอบถาม UCLA Loneliness Scale จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบไปด้วยคำถามในเชิงจิตวิทยาที่มีต่อความเหงา ความโดดเดี่ยว โดยจะแบ่งกลุ่มของคนเหงาออกเป็น 4 ระดับคือ
    • ระดับ 4 (45-60 คะแนน) : กลุ่มคน “เหงาจับใจ”
    • ระดับ 3 (30-44 คะแนน) : กลุ่มคน “เหงาจนชิน”
    • ระดับ 2 (20-29 คะแนน) : กลุ่มคน ” แอบเหงา”
    • ระดับ 1 (น้อยกว่า 20 คะแนน) : กลุ่มคน “สบายสบาย”
  2. วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทำแบบสอบถามที่มี UCLA คะแนนมากกว่า 20 ขึ้นไป (อยู่ในกลุ่มคนเหงาระดับ 2-4) เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่รู้สึกเหงา การเล่น Social Media และวิธีจัดการกับความเหงา โดยมีผู้ยินยอมให้สัมภาษณ์จำนวนทั้งหมด 76 คน จากผู้ทำแบบสอบถาม 1,126 คน

ลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง

จากกลุ่มตัวอย่าง 1,126 คนสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ เพศชาย 35.2%, เพศหญิง 64.2% และ เพศทางเลือก 0.6%

ผลการวิจัยพบว่าในกลุ่มเพศชายและเพศหญิงมีปริมาณคนเหงาอยู่ที่ประมาณ 40% ในขณะที่กลุ่มเพศทางเลือกมีปริมาณคนเหงาถึง 85.7% แต่เนื่องจากปริมาณของกลุ่มตัวอย่างของเพศทางเลือกในงานวิจัยดังกล่าวมีปริมาณที่น้อยกว่ามาก จึงไม่สามารถสรุปผลที่ชัดเจนได้

หากมองกลุ่มคนทื่มีความเหงาเป็นช่วงวัยหรืออายุ แบ่งได้ดังนี้

  • วัยเรียน (อายุ 18-22 ปี) 17.9%
  • วัยทำงาน (อายุ 23-40 ปี) 44.3%
  • วัยผู้ใหญ่ (อายุ 41-60 ปี) 20.1%
  • วัยผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี) 17.8%

สังเกตได้ว่าวัยที่มีแนวโน้มจะอยู่ในกลุ่มคนเหงามากที่สุด คือ คนวัยทำงานที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ต้องทำงานหนัก ปรารถนาให้มีใครสักคนมาเข้าใจ อีกทั้งยังมีเกณฑ์อายุอยู่ในกลุ่ม Millennial ซึ่งมีความคุ้นเคยกับ Social Media อย่างมาก จึงอาจส่งผลให้มีปริมาณคนเหงามากกว่าคนในช่วงวัยอื่น

ปริมาณคนเหงาในประเทศไทยสูงถึง 40.4%

จากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างพบว่า มีบุคคลที่อยู่ในกลุ่มคนเหงาถึง 40.4% จำแนกตามกลุ่มได้เป็น กลุ่มเหงาจับใจ 2.3%, กลุ่มเหงาจนชิน 14.5% และ กลุ่มแอบเหงา 23.6%

ซึ่งหากนำตัวเลขมาเทียบสัดส่วนกับจำนวนประชากรทั้งหมด 66.41 ล้านคนในประเทศไทยแล้ว จะพบว่าตลาดคนเหงามีอยู่มากถึง 26.57 ล้านคน ถือว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนและนักการตลาด

3 อันดับวิธีคลายเหงายอดนิยม

  1. Social Media เนื่องจากเป็นช่องทางที่ทำให้คนเหงาสามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นการเสพย์คอนเทนต์ที่ตัวเองสนใจ หรือการติดต่อกับผู้อื่นบนโลกออนไลน์ โดยผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนมากจะให้ความเห็นว่าการใช้ Social Media จะทำให้รู้สึกเหมือนมีคนอยู่ด้วย หรือลืมไปชั่วขณะหนึ่งว่าตนกำลังเหงาอยู่
  2. การไปร้านอาหาร / ร้านกาแฟ เนื่องจากกลุ่มคนเหงามักจะไม่ต้องการอุดอู้อยู่ในห้องของตัวเอง จึงหาโอกาสที่จะออกไปในบรรยากาศที่มีผู้คน และนอกจากนั้นกลุ่มคนเหงามักจะมีความสุขกับการได้รับประทานอาหาร การออกไปร้านอาหาร หรือร้านกาแฟจึงตอบโจทย์ทุกอย่างที่กลุ่มคนเหงาต้องการ
  3. Shopping เนื่องจากคนเหงาต้องการออกจากบรรยากาศที่ทำให้เกิดความเหงา การช้อปปิ้งจึงเปรียบเสมือนการออกไปผ่อนคลาย การเดินดูของที่ตนอยากได้ก็ทำให้มีความสุขโดยไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ โดยคนเหงาแต่ละคนก็อาจมีพฤติกรรมแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนอยากเดินช้อปปิ้งเงียบๆ คนเดียว หรือบางคนก็อาจจะอยากได้คำแนะนำจากพนักงานในร้าน เป็นต้น

Social Media ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในกลุ่มคนเหงา

จากผลสำรวจกลุ่มเป้าหมายพบว่า Social Media ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในกลุ่มคนเหงา แบ่งออกเป็นสัดส่วนได้ดังนี้

  • Facebook 36.7%
  • LINE 33.0%
  • Instagram 16.7%
  • Twitter 11.9%

จะสังเกตได้ว่า Facebook ก็ยังเป็น Social Media ที่มีอิทธิพลที่สุดในกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน ในขณะที่หลายๆ คนรวมถึงตัวผู้เขียนเองอาจมองว่า Twitter ดูจะเป็นแพลตฟอร์มที่นิยมสำหรับคนเหงามากกว่า แต่เป็นเพราะกลุ่มคนเหงาส่วนมากมีอายุอยู่ในช่วงวัยทำงาน จึงอาจจะมีความคุ้นชินกับแพลตฟอร์ม Facebook มากกว่า

โดยความนิยมของ Social Media แต่ละประเภทจะจำแนกออกตามช่วงวัยได้ดังนี้

  • วัยเรียน : Instagram 35.7%, Facebook 28.6% และ Twitter 26.2%
  • วัยทำงาน : Facebook 46.3%, LINE 22% และ Instagram 17.9%
  • วัยผู้ใหญ่ : LINE 64.5%, Facebook 31.6% และ Instagram 2.6%
  • วัยผู้สูงอายุ : LINE 81.6% และ Facebook 10.2%

จากผลสำรวจข้างต้นจะสังเกตได้ว่า กลุ่มคนในวัยเรียนถึงวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะเป็น “สายส่อง” หรือ “สายโพสต์” ที่มีพฤติกรรมการเลื่อนหน้า Feed บนแพลตฟอร์มต่างๆ และอ่านสิ่งที่ตนสนใจไปเรื่อยๆ

โดยจะมีการโพสต์เป็นครั้งคราว เพื่อเป็นการคลายเหงาผ่านการรับชมคอนเทนต์ที่ชอบ หรือโพสต์ในสิ่งที่ตนอยากจะนำเสนอ

ในขณะที่กลุ่มคนในวัยผู้ใหญ่ถึงวัยผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะเป็น “สายเม้าท์” โดยใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ส่วนมากในแพลตฟอร์มแชทอย่าง LINE

ซึ่งอาจเป็นเพราะคนเหงาในช่วงวัยนี้ต้องการหาเพื่อนคุยมากกว่าการเสพคอนเทนต์บนโลกออนไลน์

5 โอกาสทางธุรกิจ เอาใจคนเหงา

จากผลการวิจัยนี้ สรุป Insight ของกลุ่มผู้บริโภคสายเหงาไว้ว่า

  • คนเหงาต้องการใครสักคนที่เข้าใจ
  • คนเหงาต้องการใครสักคนไว้พูดคุย/ปรึกษา
  • คนเหงาต้องการใครสักคนที่ทำให้ตนไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว/เดียวดาย

และทางกลุ่มผู้จัดทำงานวิจัยก็ได้สรุป 5 โอกาสทางธุรกิจเอาใจคนเหงา ดังนี้

1.Community

เป็นการสร้างสังคมเพื่อนำพาให้กลุ่มคนเหงาที่ชื่อชอบในสิ่งเดียวกันมาพบกัน ซึ่งอาจจะเป็นคนในวัยเดียวกัน หรือต่างวัยกันก็ได้ โดยธุรกิจที่เป็นตัวอย่างในการสร้าง Community คือ

  • Board Game Cafe เนื่องจาก Board Game เป็นเกมที่ไม่สามารถเล่นคนเดียวได้ Board Game Cafe จึงเป็นสถานที่ที่คนหลายๆ ช่วงวัยใช้นัดมาเจอกัน เพื่อเล่น Board Game ด้วยกัน ทำให้เกิดการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และสร้างความสัมพันธ์ให้กันและกันมากขึ้น
  • BNK48 Girl Group Idol ที่มีสโลแกนว่า “ไอดอลที่คุณเข้าถึงได้” เป็นการสร้าง Community ขนาดใหญ่ที่ดึงกลุ่มคนในหลากหลายสถานที่มารวมกันจากความชื่นชอบไอดอลวงเดียวกัน โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น งานจับมือ คอนเสิร์ต เป็นต้น

2.Co-Living Space

ในยุคปัจจุบันที่มีคนให้ความสนใจกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระดับสูง ส่งผลให้มีคนที่อาศัยอยู่คนเดียวมากขึ้น ซึ่งการอยู่คนเดียวก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหงาได้ การสร้าง Co-Living Space ให้คนเหงาได้ออกมาพบปะกันจึงเป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจ

โดยตัวอย่างในประเทศไทยก็มี “แสนสิริ” ที่นำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับคอนโดมิเนียมในเครือของตนผ่านคอนเซปต์ 3-Co ประกอบด้วย Co-Working พื้นที่ทำงาน ห้องประชุม Co-Recreation สนามกีฬาเอนกประสงค์ และ Co-Kitchen หรือ Co-Dining พื้นที่สำหรับประกอบอาหาร และรับประทานอาหารร่วมกันของผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม

3.Digital Life

ในยุคที่ทุกคนใช้สมาร์ทโฟนเป็นเรื่องปกติ ธุรกิจในเชิงดิจิทัล เช่น แอพลิเคชั่น, AI, หรือ Online Platform ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น แอพลิเคชั่นเอาใจคนเหงาอย่าง People Walker ในสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้คนเหงาสามารถเลือกเส้นทางที่จะเดินและหาเพื่อนร่วมทางผ่านแอพฯ เพื่อจะได้เดินไปด้วยกันและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้

4.Best Friend Pet

ธุรกิจสัตว์เลี้ยงเป็นอีกธุรกิจที่มีรูปแบบหลากหลาย และตอบโจทย์ได้ทั้งคนเหงาและคนรักสัตว์ โดยมีตัวอย่างดังนี้

  • Dog / Cat / Exotic Pet Cafe คาเฟ่สัตว์เลี้ยงสำหรับคนเหงาในเมืองที่รักสัตว์แต่ว่าไม่สามารถเลี้ยงเองได้ เนื่องจากอาศัยอยู่คนเดียว หรืออยู่ในสถานที่ที่ห้ามเลี้ยงสัตว์
  • Trail Station หรือ บริการเช่าสัตว์เลี้ยง เป็นที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และอเมริกา โดยมีบริการทั้งแบบรายวันและรายเดือน หากผู้เช่าสนใจที่จะหันมาเลี้ยงสัตว์ของตนเองก็จะมีบริการ Pet Consult ในการเลือกซื้อสัตว์เลี้ยง
  • Pet Healthcare ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพสัตว์เลี้ยงเพื่อตอบสนองความต้องการในการเลี้ยงสัตว์ของคนเหงาที่มีจำนวนมากขึ้น
  • Friendly Pet Community การสร้างพื้นที่พบปะกันระหว่างกลุ่มคนรักสัตว์ โดยการเปิดพื้นที่ให้นำสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น ทำให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้เลี้ยงได้ ตัวอย่าง Pet Community ในไทย ได้แก่ K Village, The Circle ราชพฤกษ์, Central Eastville, ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง และต้องมีความรับผิดชอบ รวมถึงความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ประเภทนั้นๆ อย่างมาก จึงต้องมีการศึกษาอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะมาทำธุรกิจประเภทนี้ด้วยนะครับ

 

5.Travel Together

การออกไปเที่ยวในบรรยากาศใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นวิธีคลายเหงาที่ดี แต่จะให้ไปคนเดียวก็เหงา ไปกับเพื่อนก็อาจจะว่างไม่ตรงกัน ดังนั้นธุรกิจท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์คนเหงาได้ จึงเป็นการท่องเที่ยวที่ไปคนเดียวได้แต่ไม่เหงานั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น

  • ทัวร์คนโสด เป็นการรวบรวมกลุ่มคนเหงา (ที่ยังโสด) มาเที่ยวและทำกิจกรรมร่วมกัน ทำให้ได้พบกับสังคมใหม่ที่น่าตื่นเต้นในระยะสั้นๆ และอาจจะมีการต่อยอดความสัมพันธ์ต่อหลังจากทัวร์จบอีกด้วย
  • ทัวร์อาสาสร้างบ้านปลา ทัวร์อาสาสมัครไปสร้างบ้านให้ปลา ปลูกป่าชายเลน สร้างโรงเรียนให้เด็กต่างจังหวัด เป็นการดึงคนมาทำกิจกรรมร่วมกัน

กลยุทธ์การตลาดเพื่อกลุ่มคนเหงา

จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น กลุ่มผู้จัดทำการวิจัยได้สรุปกลยุทธ์การตลาดเพื่อกลุ่มคนเหงาไว้ ดังนี้

  • Circumstance แบรนด์จะต้องนึกถึงสภาพแวดล้อมโดยรวมให้คนเหงาไม่รู้สึกเหงาไปมากกว่าเดิม เช่น การมีพื้นที่ส่วนบาร์ในร้านอาหาร ให้คนเหงาไม่ต้องรู้สึกว่าตนมากินข้าวคนเดียว หรือการแบ่งตะกร้า 2 สีในร้านค้าปลีกเพื่อให้คนเหงาเลือกได้ว่าอยากเดินช้อปปิ้งคนเดียวเงียบๆ หรือต้องการให้พนักงานมาคุยด้วย
  • Companion แบรนด์ไม่ใช่แค่สินค้าหรือบริการ แต่แบรนด์เปรียบเสมือนเพื่อนของกลุ่มคนเหงา ดังนั้นแบรนด์จะต้องทำการสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ทั้งในแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์โดยไม่ผ่านระบบอัตโนมัติ และพร้อมให้ความช่วยเหลือตามความต้องการของกลุ่มคนเหงา
  • Forget Me Not ในช่วงเทศกาลต่างๆ ทุกคนมักจะนึกถึงครอบครัวหรือคนรัก ทำให้มีกิจกรรมหรือโปรโมชั่นสำหรับคนมีคู่ ครอบครัว ออกมาให้เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ แต่อย่าลืมว่า ยังมีกลุ่มคนเหงาอยู่อีกจำนวนมากที่แบรนด์ไม่ควรทิ้งโอกาสในการจัดกิจกรรมหรือโปรโมชั่นเพื่อพวกเขา
  • Community Co-Creation แบรนด์สามารถสร้างแคมเปญที่ดึงคนเหงามารู้จักกัน เป็นการสร้าง Community โดยมีตัวกลางเป็นแบรนด์ และเมื่อกิจกรรมจบ Community นี้จะยังอยู่ เมื่อนึกถึงกิจกรรมนี้ก็จะทำให้กลุ่มคนเหงานึกถึงแบรนด์นั้นๆ อีกด้วย

การตลาดสำหรับกลุ่มคนเหงาก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจมากๆ ทีมงาน thumbsup ขอขอบคุณข้อมูลจากงานวิจัย “Lonely in the deep เจาะลึกตลาดคนเหงา” และหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน หากมีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจอีกทีมงานจะนำมานำเสนอให้ผู้อ่านได้รับชมกันอีกนะครับ

ข้อมูลจาก : งานวิจัย Lonely in the deep เจาะลึกตลาดคนเหงา

 
Source: thumbsup

The post Infographic : เจาะลึกตลาดคนเหงา กลุ่มผู้บริโภคที่นักการตลาดและคุณไม่ควรมองข้าม appeared first on thumbsup.

อาลัย Grumpy Cat เจ้าเหมียวเซเลบฯชีวิตแสนธรรมดา

$
0
0


ไม่ใช่แค่ “คน” ที่มีแง่มุมน่าสนใจในโลกธุรกิจ แต่เหมียวหน้าบึ้งอย่าง Grumpy Cat ก็มีส่วนประกอบน่าศึกษาหลายจุดโดยเฉพาะบทบาทการเป็นสุดยอด Meme อมตะ น่าเสียดายที่ซูเปอร์สตาร์แมว Grumpy Cat ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ทำให้มีเสียงเศร้าระงมทั่วโลกออนไลน์

เจ้าของแมว Grumpy Cat โพสต์ในบัญชี Twitter ชื่อ @Real GrumpyCat โดยชี้แจงว่าเหมียว Grumpy Cat จากไปเมื่อวันอังคารที่ 14 พฤษภาคมภายในบ้านท่ามกลางอ้อมแขนของแม่ “Tabatha” สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตแมวตัวเมียหลายตัวในสายพันธุ์นี้

ในแถลงการณ์ เจ้าของ Grumpy Cat กล่าวว่านอกจากจะมีฐานะเป็นลูกและเป็นสมาชิกที่มีชื่อเสียงของครอบครัวแล้ว Grumpy Cat ยังช่วยให้ผู้คนนับล้านทั่วโลกได้ยิ้มแม้จะอยู่ในยามที่ยากลำบาก เชื่อว่าวิญญาณของ Grumpy Cat จะยังคงอยู่ต่อไปผ่านแฟนคลับทุกคน

ชื่อใหม่ ดังกว่าเดิม

Grumpy Cat มีชื่อเรียกแท้จริงว่า “Tardar Sauce” จุดเริ่มต้นความโด่งดังของ Grumpy Cat คือปี 2012 หลังจากหนึ่งในครอบครัวเจ้าของ Grumpy Cat ได้โพสต์รูปถ่ายของเธอใน Reddit เธอกลายเป็นดาวเด่นในดวงใจทาสแมวอย่างรวดเร็วเนื่องจากคาแรคเตอร์ “ขมวดคิ้วถาวร” ที่ปรากฏในใบหน้าตลอดเวลา ตั้งแต่นั้นมาบัญชี Grumpy Cat บน Twitter ก็ดึงดูดผู้ติดตามมากกว่า 1.5 ล้านคน

Grumpy Cat หรือ Tardar Sauce เป็นลูกแมว 1 ใน 4 ที่เกิดจากแม่แมว 3 สี (calico) และแมวลาย (tabby) เจ้าของตัวจริงคือ Tabatha Bundesen ซึ่งอาศัยในรัฐแอริโซน่าบอกว่า 99% ของชีวิตเหมียว Grumpy Cat นั้นไม่ต่างจากแมวธรรมดาทั่วไป

จุดเปลี่ยนของ Grumpy Cat คือการมี “Meme manager” เป็นของตัวเอง ในช่วงแรกผู้รับหน้าที่โพสต์เรื่องราวของ Grumpy Cat ชื่อ Ben Lashes ซึ่งนำเสนอชื่อ Grumpy Cat คู่ไปกับชื่อ Keyboard Cat และ Nyan Cat แต่สุดท้ายในปี 2013 สาว Tabatha Bundesen ก็ตัดสินใจออกจากงานประจำที่บริษัท Red Lobster เพื่อมาจัดการตารางงานของ Grumpy Cat ขณะที่พี่ชาย Bryan Bundesen ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มเดบิวต์ Grumpy Cat ใน Reddit รับหน้าที่บริหารเว็บไซต์ Grumpy Cat รวมถึงตั้งบัญชี Facebook, YouTube และ Twitter

สถิติ 5 มีนาคม 2019 ระบุว่าบัญชี Instagram ของ Grumpy Cat มีผู้ติดตามมากกว่า 2.4 ล้านคน โดยบน Facebook มี follower มากที่สุด 8.3 ล้านคน

ออกสื่อสำคัญ

หนึ่งในสิ่งที่ตอกย้ำความสำเร็จของ Grumpy Cat คือการปรากฏตัวในสื่อดังของสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อต้องให้สัมภาษณ์ น้องสาวของ Tabatha Bundesen ชื่อ Chrystal จะเป็นผู้ออกหน้าแทนในรายการต่างๆ การออกสื่อนี้มีความสำคัญที่ส่งให้ Grumpy Cat ได้รับความสนใจจากทาสแมวอเมริกันมากขึ้น เกื้อหนุนกับตำแหน่งพรีเซนเตอร์แบรนด์อาหารแมวทั้ง Friskies และขนมในเครือ General Mills อย่าง Honey Nut Cheerios รวมถึงการสร้างแบรนด์ตัวเอง

เหมียว Grumpy Cat ยังไปโชว์ตัวที่งาน South by Southwest ในปี 2013 ที่บูธ Mashable House ทั้งหมดนี้สำนักข่าวทั้ง CNN, CBS และ CNET ต่างเรียก Grumpy Cat ว่าเป็นดาวเด่นที่สุดในงาน SXSW Interactive ปีนั้น เหนือกว่า Elon Musk, Al Gore และ Neil Gaiman ที่ร่วมงานปีนั้นเช่นกันเพราะมีแฟนคลับกว่า 600 คนยืนรอถ่ายภาพกับเจ้าเหมียมนานหลายชั่วโมง

แม้จะมีการฟ้องร้องเรื่องชื่อ Grumpy Cat เพราะไปตรงกับบริษัทที่จดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับชื่อ Grumpy ไว้ แต่ Grumpy Cat ก็สามารถปรากฏตัวในวิดีโอเกมชื่อ Grumpy Cat: Unimpressed (วางจำหน่ายโดย Ganz Studios) เกมนี้สามารถเล่นได้บน Facebook, อุปกรณ์ iOS และอุปกรณ์ Android ขณะเดียวกันก็มีการเซ็นสัญญากับ Weather Creative Inc. เปิดตัวแอปพยากรณ์อากาศสำหรับทาสแมวสำหรับอุปกรณ์ iOS และ Android ที่เรียกว่า Grumpy Cat Weather

ทั้งหมดนี้เป็นผลงานที่ฝากไว้ให้ทาสแมวทั่วโลกได้คิดถึง หลับให้สบายนะ Grumpy Cat.

ที่มา: : FastCompany

 
Source: thumbsup

The post อาลัย Grumpy Cat เจ้าเหมียวเซเลบฯชีวิตแสนธรรมดา appeared first on thumbsup.

น่าเป็นห่วง? Baidu แฝด Google สัญชาติจีนขาดทุนครั้งแรก

$
0
0

ถือเป็นการขาดทุนครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 สำหรับ Baidu เสิร์ชเอนจิ้นสไตล์เดียวกับ Google ของจีนที่กำลังเร่งลงทุนต่อเนื่องด้านปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีไฮเทคอื่นจนทำให้เริ่มเข้าเนื้อส่อแววติดตัวแดง ล่าสุด Baidu โชว์ตัวเลขขาดทุนเป็นไตรมาสแรกเพราะต้นทุนการดำเนินงานสูงลิ่ว ทั้งที่ยังครองส่วนแบ่งใหญ่ของตลาดเสิร์ชแดนมังกร

สำหรับไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา Baidu ระบุว่าขาดทุนสุทธิ 49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในซึ่งเป็นการขาดทุนรายไตรมาสครั้งแรกนับตั้งแต่ Baidu เข้าตลาดอย่างเป็นทางการในปี 2005 ตัวเลขขาดทุนนี้เทียบไม่ติดเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิ 6,690 ล้านหยวน (970 ล้านดอลลาร์) ที่เคยทำได้ในปีก่อน

Baidu ระบุว่าค่าใช้จ่ายด้านเนื้อหาในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 47% เป็น 917 ล้านดอลลาร์ ผลจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในบริการชื่อ iQiyi ซึ่งถูกวางตัวเป็นบริการวิดีโอสตรีมมิ่งสไตล์ Netflix ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ 621 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 26%

Baidu ยักษ์ใหญ่ต้องเปลี่ยน

วันนี้ Baidu ยังคงเป็นบริการค้นหาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 67% (ข้อมูลจาก StatCounter) แต่นักวิเคราะห์มองว่าแม้ Baidu จะได้รับผลตอบแทนมหาศาลจากโฆษณาบนระบบเสิร์ชเอนจิ้นในยุคพีซี แต่เมื่อผู้บริโภคเริ่มเมินการเสิร์ชและเลือกใช้บริการบนโทรศัพท์มือถือผ่านคำแนะนำหรือรีวิว ระบบค้นหาอย่าง Baidu จึงกำลังสูญเสียแรงดึงดูดจากนักโฆษณาแบบเห็นได้ชัด

แน่นอนว่า Baidu รู้ดีว่าโลกกำลังหมุนเข้าสู่ยุคทองของระบบแนะนำหรือ recommendations บริษัทไอทีอย่าง Baidu พยายามปรับตัวด้วยการเพิ่มฟีดข่าวที่ปรับให้เป็นส่วนตัวหรือ personalized news feed ลงในแอปเสิร์ชเอนจิ้นของตัวเองในปี 2016 ซึ่งจะทำให้ระบบสามารถเสนอหรือแนะนำเนื้อหาที่เชื่อว่าบุคคลนั้นจะสนใจ แทนที่จะรอให้ผู้ใช้ป้อนสิ่งที่กำลังมองหา แน่นอนว่า Baidu ไม่ใช่รายเดียวที่ให้บริการในแนวคิดนี้ แต่มีอีกหลายเจ้าที่พยายามพัฒนาธุรกิจโฆษณาบนโมเดลนี้

สิ่งที่สัมผัสได้ในขณะนี้คือนักการตลาดกำลังสนใจโฆษณาแบบ feed-based ads อย่างมาก เพราะตลาดนี้มีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นจาก 5,200 ล้านหยวน (750 ล้านดอลลาร์) ในปี 2014 มาเป็น 166,200 ล้านหยวนในปี 2019 ตามการประมาณการของบริษัท วิจัย Analysys

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ 2 ขาของ Baidu ไม่อาจสร้างรายได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายมหาศาลที่รออยู่ จุดนี้ทำให้ Baidu ถูกจับตาว่าจะตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคโทรศัพท์มือถือได้หรือไม่แม้บริษัทจะเปลี่ยนชื่อจาก “ธุรกิจเสิร์ช” มาเป็น ”ธุรกิจโมบาย” แล้ว รวมถึงการปรับโครงสร้างภายในบริษัท Baidu ที่ธุรกิจโฆษณาคิดเป็นกว่า 90% ของรายได้

ผู้ใช้ยังเพิ่มขึ้น

สถิติที่น่าสนใจขณะนี้คือ Baidu มีผู้ใช้งานประจำวันราว 174 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปี รายรับในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 24,100 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบเป็นรายปี

คาดว่า Baidu จะยังมีรายจ่ายเรื่องการพัฒนาระบบ AI ต่อเนื่องเพราะ AI จะเพิ่มเขี้ยวเล็บให้การทำฟีด algorithm-powered feed ที่ใช้อัลกอริธึมของ Baidu แข็งแกร่งขึ้น จุดนี้ Baidu ถูกจับตามองเป็นพิเศษเพราะ Lu Qi ผู้บริหารนักวิทยาศาสตร์ชื่อเสียงระดับโลกนั้นลาเก้าอี้ COO ของบริษัทไปแล้ว แต่ Baidu ก็ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยี AI ซึ่งในปี 2018 ยักษ์ใหญ่อย่าง Baidu การันตีว่าระบบผู้ช่วยเสียงอัจฉริยะของ Baidu นั้นถูกใช้ในมากกว่า 200 ล้านอุปกรณ์แล้ว.

ที่มา: : TechCrunch

 
Source: thumbsup

The post น่าเป็นห่วง? Baidu แฝด Google สัญชาติจีนขาดทุนครั้งแรก appeared first on thumbsup.

หนุน SME ใช้ออนไลน์ต่อเนื่อง เฟซบุ๊กเปิดตัวโครงการอบรม “Boost with Facebook”

$
0
0

Facebook เปิดตัวโครงการอบรมในชื่อ “Boost with Facebook” หวังช่วยคนหลากหลายกลุ่มสามารถประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME ที่อยู่ในชุมชนผู้พิการ ชุมชนเพศทางเลือก และชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล ให้สามารถใช้แพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ในการขยายธุรกิจได้


Facebook เปิดตัวโครงการอบรม “Boost with Facebook” ที่จัดขึ้นทั่วโลกเพื่อ ซึ่งทาง Facebook ประเทศไทยร่วมกับมูลนิธิคีนันแห่งเอเซียและพันธมิตรต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและชุมชน เพื่อเสริมศักยภาพของธุรกิจ SME และสนับสนุนการสร้างสังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม รวมถึงเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัลของประเทศไทย

ตัวอย่างเนื้อหาที่มีการอบรม เช่น การสร้างเพจธุรกิจบน Facebook และ Instagram, การใช้เครื่องมือสร้างคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์, การเพิ่มกลุ่มเป้าหมายโดยการใช้ข้อมูลเชิงลึก เป็นต้น

โดยการจัดอบรมครั้งนี้จะมีทั้งการอบรมแบบเจอหน้ากันทั้งในกรุงเทพ เชียงใหม่ และจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-ภาคใต้ ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน 2562 รวมถึงยังมีการอบรมผ่านระบบออนไลน์ของ Facebook ตั้งเป้าส่งเสริมทักษะด้านดิจิทัลให้กับ SME ไทยจำนวน 1,000 ราย ที่อยู่ในชุมชนผู้พิการ ชุมชนเพศทางเลือก และชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล

ในปี 2561 ที่ผ่านมาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้มีการรวบรวมข้อมูลและทำการสำรวจผู้ประกอบการ ระบุว่า

  • เศรษฐกิจดิจิทัลคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 19 ของจีดีพีของประเทศไทย
  • คาดการณ์ว่า SME จะสร้างรายได้คิดเป็นร้อยละ 43 ของ GDP รวมของประเทศ ภายในปี 2562
  • คาดการณ์ว่า  SME จะสร้างรายได้ถึง 2.82 แสนล้านบาท ภายในปี 2564
  • ปัจจุบันมีธุรกิจ SME มากกว่า 3 ล้านรายในไทย
  • ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการสำรวจไม่ถึงร้อยละ 16 ที่รู้สึกมั่นใจว่าตนเองมีความรู้ในการใช้เครื่องมือดิจิทัลสำหรับธุรกิจได้อย่างชำนาญ

ไม่ใช่มีแค่เรื่องแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ยังมีการสอนเรื่องธุรกิจและการเงินด้วย

เบธ แอน ลิม (Beth Ann Lim) หัวหน้าฝ่ายชุมชนสัมพันธ์ของ Facebook ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ระบุว่า คนไทยมีความกระตือรือร้น มีจิตวิญญาณความเป็นเจ้าของธุรกิจ และมีแรงขับเคลื่อนในการทำสิ่งต่างๆ รวมถึงเห็นความสำคัญของทักษะด้านดิจิทัลที่จะช่วยสร้างธุรกิจของพวกเขาให้เติบโต

ข้อมูลจากรายงาน Future of Business ระบุว่า ภาคธุรกิจและภาคชุมชนของไทยนั้นมีการเปิดรับสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างกว้างขวาง โดย

  • ร้อยละ 78 กล่าวว่าพวกเขาใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น Facebook ในการแสดงสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้า
  • ร้อยละ 94 ของธุรกิจขนาดเล็กที่เข้าร่วมการสำรวจ ตระหนักดีว่าการโปรโมทสินค้าและบริการผ่านช่องทางดิจิทัล รวมถึงช่องทางโซเชียลต่างๆ มีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจ

“วัตถุประสงค์หลักของโปรแกรมนี้ ก็คือการทำให้เข้าใจเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบ optimize มาจริงๆ โดยจะมีสอนเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Facebook แต่จะมีการสอนวิธีทำให้ธุรกิจเติบโตและเรื่องการเงินอีกด้วย” Beth Ann Lim กล่าว

 
Source: thumbsup

The post หนุน SME ใช้ออนไลน์ต่อเนื่อง เฟซบุ๊กเปิดตัวโครงการอบรม “Boost with Facebook” appeared first on thumbsup.

ผ่าเทรนด์ plogging แรงดีบน Instagram จนหลายแบรนด์ขยายผลสุดปัง

$
0
0

เปิดแนวคิด 2 ผู้บริหาร 2 แบรนด์ดาวรุ่ง Nathan Dopp และ Nancy Fishgold ที่มองเห็นเทรนด์ plogging และประยุกต์ใช้กับอีเวนท์แบรนด์ตัวเองได้โดดเด่นกว่าใคร ทั้งคู่มีวิสัยทัศน์บนเทรนด์แรง Instagram ยุคนี้แบบจับต้องได้และได้ผลจริง

Nancy Fishgold นั้นมีดีกรีเป็น senior manager for external communications ของ Danone North America ขณะที่ Nathan Dopp นั่งเก้าอี้ CEO สาขาอเมริกาเหนือของ Fjallraven ทั้ง 2 ถูกพูดถึงอย่างน่าสนใจในบทความเล่าเรื่องราวกระแส plogging บน Instagram นาทีนี้

สิ่งที่ทำให้คำว่า plogging เริ่มเป็นที่สนใจอีกครั้งหลังจากที่เป็นข่าวครั้งแรกเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว คือการใช้คำนี้อย่างแพร่หลายใน Instagram, อีเมล รวมถึงแคมเปญโฆษณาที่ต้องการสื่อถึงการออกกำลังกายยุคใหม่ ปรากฏการณ์นี้ทำให้หลายคนมองว่าเทรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากสวีเดนนี้อาจไม่ใช่พลุที่ดังแล้วเงียบไป แต่จะเป็นกีฬาที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

plogging ดึงดูดได้

“plogging เป็นคำกริยา เกิดจากการรวมคำว่า jogging เข้ากับคำว่า plocka upp คำภาษาสวีดิชที่แปลว่าหยิบขึ้นมา” Nathan Dopp ซีอีโอของ Fjallraven บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งสัญชาติสวีเดน ประจำตลาดอเมริกาเหนือ อธิบาย โดยที่ผ่านมา Fjallraven เริ่มจัดอีเวนท์ plogging ในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้ว

สำหรับเทรนด์ plogging ถูกมองว่าเริ่มต้นโดยชาวสวีเดนชื่อ Erik Ahlström ในปี 2016 ซึ่งต้องการตั้งชื่อเก๋ไก๋ให้งานอดิเรกที่โปรดปราน กิจกรรมนี้อาจไม่ใช่ jogging เท่านั้นแต่รวมถึงการออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งทั้งการปีนเขา หรือเดินป่า เรียกว่าเป็นการออกกำลังกายประเภทใดก็ตามที่จะทำร่วมกับการเก็บขยะ เช่น ขวดเปล่า ถุงพลาสติก เศษอาหาร ที่มีใครทิ้งไว้

Nathan Dopp มองว่า plogging ดึงดูดผู้ชื่นชอบวิถีรักษ์สุขภาพ ที่ต้องการเพิ่มประโยชน์ให้กับการออกกำลังกายของตัวเองด้วยการทำประโยชน์กับสังคม แถมวิธีการก็ไม่ยุ่งยากเพราะเพียงนำถุงติดตัวมาออกกำลังกายเอาท์ดอร์ด้วย และลงมือเก็บขยะก็สามารถทำ plogging ได้แล้ว

วันนี้ plogging กำลังกลายเป็นเทรนด์จริงจัง เพราะเหล่า Instagrammers ถ่ายรูปเซลฟี่กับขยะและอัปโหลดรูปจนมีนัยสำคัญ สถิติล่าสุดพบว่าโพสต์บน Instagram มากกว่า 59,000 โพสต์มีการติดแฮชแท็ก #plogging ขณะที่อีก 12,000 โพสต์ติดคำว่า #plog นอกจากคำเหล่านี้ยังมีการคิดคำเกี่ยวกับขยะเช่น “trash goblin” หรือก็อบลินขยะที่พร้อมจะพุ่งเข้าใส่ขยะทุกเมื่อ

เรียบง่ายและยั่งยืน

plogging ถูกหยิบมาใช้ในอีเวนท์ของแบรนด์อื่นเช่นเดียวกับเทรนด์ส่วนใหญ่ที่กลายเป็นแฟชั่นจนแบรนด์ต่างให้ความสนใจ นอกเหนือจาก Fjallraven วันนี้ plogging ถูกแบรนด์นมถั่วเหลือง Silk หยิบมาใช้ผ่านแท็ก #PlogForProgress ซึ่งแบรนด์ระบุว่าสะท้อนความเรียบง่ายและยั่งยืนได้ดี

Nancy Fishgold ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการสื่อสารนอกองค์กรของ Danone North America ต้นสังกัดของ Silk มองว่า plogging นั้นมีหลักการเรียบง่ายที่รวม 2 เรื่องสุดยอดที่ผู้คนเริ่มร่วมใจทำคนละไม้คนละมือเพื่อรักษ์โลก โดยในวันสิ่งแวดล้อมโลกที่ผ่านมา แบรนด์ Silk ได้รณรงค์ให้ผู้คนออกนอกบ้านไปถ่ายรูปขยะที่ตัวเองเก็บได้แล้วแชร์ภาพพร้อมแท็ก #PlogForProgress

ต้นสังกัดอย่าง Danone North America ไม่เพียงโปรโมต plogging ในฟีดโซเชียล Silk ยังแสดงจุดยืนหนุนให้ plogging เป็น official Olympic event หรือกิจกรรมอย่างเป็นทางการในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2028 ที่ลอสแองเจลิสด้วย จุดนี้บริษัทเริ่มสร้างคำร้องบน Change.org เพื่อขอแรงสนับสนุนจากชาวโลกให้ลงชื่อเห็นด้วยกับการเพิ่มกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมลงไปในเกม ไม่แน่ plogging อาจได้ปรากฏตัวในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2028 ด้วยฐานะมิติใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์

ประเด็นนี้ Fishgold อธิบายว่าการเพิ่ม plogging ให้เป็น official Olympic event จะเป็นขั้นตอนที่มีความหมายต่อการทำให้โลกนี้น่าอยู่กว่าเดิม แถมยังมั่นใจว่าการบรรจุ plogging ให้เป็น official Olympic event นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนั้นมีทั้งกีฬาอย่างการชักเย่อ, การดวลปืนพก, การยกน้ำหนัก และว่ายน้ำ แต่ plogging จะแข่งอย่างไรนั้น Fishgold ขอฝากเรื่องนี้ไว้กับผู้เชี่ยวชาญ

แน่นอนว่าการ plogging ไม่ใช่ทางเดียวที่ทำให้การเก็บขยะกลายเป็นเทรนด์ เพราะล่าสุดมีการส่งคำท้าผ่านแท็ก #TrashTag ซึ่งทำให้มีโพสต์มากกว่า 82,000 รายการใน Instagram ที่ติดแท็ก #TrashTag เนื่องจากกลุ่มคนและชุมชนรวมตัวกันเพื่อลาดตระเวนเก็บขยะตามตรอกและแชร์ผลงานออนไลน์ ทำให้การเก็บขยะเป็นแฟชันที่หลายคนเริ่มทำตาม

ที่มา: : FastCompany

 
Source: thumbsup

The post ผ่าเทรนด์ plogging แรงดีบน Instagram จนหลายแบรนด์ขยายผลสุดปัง appeared first on thumbsup.


ทำความรู้จักลูกค้าแบบ YDM Thailand ที่จะพลิกวงการเอเจนซี่ด้วยการปั้น Revenue Sharing Model

$
0
0

 

ปกติการลงทุนในเรื่องโฆษณาของแบรนด์นั้น จะแบ่งสัดส่วนเป็นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเม็ดเงินโฆษณาถือว่าเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่จะถูกใช้ไปในการประชาสัมพันธ์ สื่อสารและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า และการจะเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการที่หลากหลายนั้น ก็ต้องปั้น “คอนเทนต์” ที่แตกต่างกัน โดยหวังว่าจะมีสักชิ้นงานที่ตรงใจจนเกิดโอกาสการซื้อ ซึ่งการ “ปั้นคอนเทนต์” ให้โดนใจนี้เอง จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากสำหรับแต่ละแคมเปญ ซึ่ง YDM Thailand ต้องการจะคิดแบบแหวกแนวนั่นคือ ไม่ต้องเหนื่อยไป Pitch งานแข่งกับค่ายอื่นให้เหนื่อยแล้ว เพราะแบรนด์จะต้องวิ่งมาหาเราเอง

คุณธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม ไทยแลนด์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า แนวคิดแบบนี้เขาได้มาจาก Consumer หรือพฤติกรรมของผู้บริโภค ลูกค้าเมื่อเข้าไปสอบถามข้อมูลบนช่องทางออนไลน์แล้ว ไม่ว่าจะโซเชียลมีเดียใดก็ตาม จะไม่ถามข้อความเดิมซ้ำ ดังนั้นแบรนด์ต้องรู้ให้ทันลูกค้าและตอบสนองให้ไว รวมทั้งการตอบลูกค้าในแต่ละครั้งไม่ควรถามเรื่องเดิมๆ รู้ปัญหาและรักษาความปลอดภัยเรื่องข้อมูลให้ลูกค้าด้วย 

ทำความรู้จักพฤติกรรมของลูกค้า

  • สิ่งที่ Marketer หรือแบรนด์ต้องทำคือ Personalize เพราะไม่ใช่ลูกค้าทุกคนจะยอมทำ Interact กับแบรนด์
  • “คอนเทนต์” กำลังเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะทุกแบรนด์สร้างคอนเทนต์ขึ้นมาเยอะมากเกินไป ดังนั้น คุณจะต้องทำให้เป็นคอนเทนต์ที่มีความหมายและเกี่ยวเนื่องกับไลฟ์สไตล์ของเขา
  • Response ต้องเร็ว เพราะความอดทนของคนยุคนี้ต่ำลง ทำให้การตอบกลับข้อสงสัยต้องทำได้แบบเรียลไทม์
  • เรื่องของออแกไนเซชั่น ต้องเลิกวิธีคิดแบบเดิม การมีหน่วยงานย่อยในการตัดสินใจหลายแผนก ทำให้ตอบสนองลูกค้าได้ช้า
  • ยุคนี้จะแบ่งเป็น ธุรกิจออนไลน์หรือธุรกิจออฟไลน์ไม่ได้ ทุกอย่างต้องผสานกันเป็น Omni Channel
  • พัฒนาสินค้าใหม่ ต้องว้าวกว่าเดิม
  • การรักษาความปลอดภัยของลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวฉุดความน่าเชื่อถือหากข้อมูลรั่วไหล

สิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับภาคธุรกิจคือ บริษัทในไทยยังเก็บข้อมูลได้แค่ Transaction แต่ความเป็นจริงต้องเก็บทุกอย่าง ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกเช็คอิน เพราะทุกอย่างล้วนเกิดโอกาสของรายได้ทั้งสิ้น รวมทั้งการทำ Agile Marketing ก็เป็นสิ่งจำเป็น นำส่ิงที่เคยผิดพลาดมาเป็นความรู้และพัฒนาสิ่งใหม่

Revenue Sharing Model สร้างมิติใหม่ของวงการเอเจนซี่

การสร้างโมเดลใหม่นี้ขึ้นมา เพราะอยากทดลอง “มองกลับด้าน” ดูบ้าง และถ้าแบรนด์ที่มาร่วมทำกับเราแล้วไม่เวิร์ค ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะเราคิดค่าบริการเป็นส่วนแบ่งรายได้ที่เกิดจากช่องทางการขายของเราเท่านั้น ซึ่งลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงินก่อน แต่หลังจากที่มียอดขายหรือรายได้ขึ้นมาผ่านช่องทางของเรา ค่อยหักส่วนแบ่งรายได้กันตามตกลง

 

“แนวคิดที่ได้มานั้น เพราะเราเห็นว่าถ้าลูกค้าอยากจ้างเอเจนซี่จะต้องจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อทำโปรดักชั่นทั้งหมด และไม่ทราบว่าจะมีรายได้ย้อนกลับมาเมื่อไหร่ แต่แนวคิดของเราจะสลับกัน แบรนด์มาคุยกับเราก่อน หากพิจารณาแล้วว่า มีโอกาสสร้างรายได้ คุณยังไม่ต้องเสียเงินค่าโปรดักชั่นเพราะเราจะเป็นคนทำให้คุณก่อนทั้งหมด แต่เมื่อมียอดขายเกิดขึ้นมาจากช่องทางของเรา ค่อยจ่ายกลับมาเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น ทำรายได้ 1 ล้านบาท ส่วนแบ่ง 10% ก็จ่ายมาแค่ 1 แสนบาท ถือว่าเป็นการทำตลาดออนไลน์ที่ถูกมาก”

 

การที่เรากล้าทำโมเดลนี้ เป็นเพราะเรามีบริษัทในเครือกว่า 9 บริษัท ได้แก่

  • เอฟซีบี แบงคอก (FCB Bangkok) และ นวิน คอนซัลแทนต์ (Nawin Consultant) สองบริษัทนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ การทำแบรนด์คอมมูนิเคชั่น การวางแผนสื่อโฆษณา รวมถึงการออกแบบสร้างสรรค์และการผลิตสื่อต่างๆ
  • แอดยิ้ม (Adyim) ให้บริการด้าน Digital Marketing Solutions แบบครบวงจร
  • ก็อตติไมซ์ (Gottimize) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนและการซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์
  • อัลเทอร์เนท65 (Alternate65) เจ้าของแพลตฟอร์ม REVU เชี่ยวชาญด้านการรีวิวสินค้าโดยใช้ Micro influencers
  • แอดพ็อกเกต (ADPOCKET) ผู้ให้บริการด้านการทำ Mobile Advertising
  • แจ่มจรัส (Jamjaras) ผู้ให้บริการด้านการทำการตลาดภูธรแบบครบวงจร
  • เอวีจีไทยแลนด์ (AVG Thailand) ให้บริการด้านการทำ Digital Marketing เจาะตลาดจีนโดยเฉพาะ
  • ดูเออร์ (Doer) แพลตฟอร์มสำหรับฟรีแลนซ์ที่ให้บริการด้านการทำ Website, Mobile Application, ฯลฯ

โดยทั้ง 9 บริษัทในเครือของเราจะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนา Marketing Solutions ที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้าอย่างแท้จริง หากเอเจนซี่อื่นต้องการทำโมเดลธุรกิจแบบเราอาจต้องแบกรับต้นทุนสูงมาก แต่ของเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น เราแค่ดึงศักยภาพของทีมมาใช้ในแง่มุมต่างๆ เท่านั้น

 

BuyZabuy.com & SellZabuy.com  ช่องทางขายแนวใหม่

ส่วนเว็บไซต์ทั้ง 2 เว็บคือ Buyzbuy และ Sellzabuy นั้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางอีคอมเมิร์ซที่ไม่ต้องไปพึ่งพาแพลตฟอร์มให้วุ่นวาย และเข้าถึงได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย เพราะเราจะขายผ่าน Influencer บนโซเชียลมีเดียของพวกเขา เมื่อลูกค้าสนใจต้องการสั่งซื้อสามารถกดคลิกลิ้งที่เราเตรียมไว้ให้ ทำให้ทราบว่าเป็นยอดขายมาจากช่องทางใด และสร้างโอกาสทางการขายได้อย่างรวดเร็ว

 

“โดยปกติแล้วแบรนด์ส่วนใหญ่จะมีการขายสินค้าในหลากหลายช่องทาง และมีการทำการตลาดในหลายๆ ส่วน ทำให้บางครั้งเกิดความยากลำบากในการแจกแจงว่า ยอดขายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากผลการทำงานของ YDM Thailand หรือไม่ เราเลยพัฒนาระบบ E-commerce ที่ชื่อ BuyZabuy.com ขึ้นมาเพื่อให้แบรนด์นำสินค้ามาวางจำหน่าย และสามารถ Track ดูยอดขายที่เป็นผลจากการทำการตลาดของทางเราได้ ซึ่งแบรนด์จะทำหน้าที่เพียงแค่จัดส่งสินค้าเท่านั้น ส่วนทาง YDM Thailand จะดำเนินการทำการ ตลาดและทำการโฆษณาให้ทั้งหมด ผ่านทีมงานมืออาชีพในกลุ่มบริษัทของเราตามความเหมาะสม โดยทางแบรนด์จะจ่ายเฉพาะส่วนแบ่งที่เกิดจากยอดขายเท่านั้น”

 

เนื่องด้วยโมเดลใหม่ “Revenue Sharing” คิดค่าบริการตามยอดขาย ถือว่าทางเอเจนซี่ หรือบริษัทแบกรับความเสี่ยงไว้พอสมควร เพราะ YDM Thailand ต้องลงทุนทั้งบุคคลากร และค่ามีเดีย ในการทำการตลาด ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องเลือกลูกค้าอย่างระมัดระวัง โดยหลักการเราต้องการสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ทางเจ้าของสินค้าพร้อมให้ความร่วมมือกับ และ ทำงานร่วมกันในลักษณะของ Partnerที่พร้อมจะลุยและเปิดใจให้กับการวิธีการทำการตลาดใหม่ๆ ของเรา

ถือว่าเป็นอีกสิ่งโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจและเป็นการ Disruption วงการเอเจนซี่แบบเดิมที่ต้องรอลูกค้าให้พิจารณาความสามารถ มาเป็นพิจารณาแบรนด์ที่มีโอกาสและความสามารถจะเติบโตไปด้วยกัน

 
Source: thumbsup

The post ทำความรู้จักลูกค้าแบบ YDM Thailand ที่จะพลิกวงการเอเจนซี่ด้วยการปั้น Revenue Sharing Model appeared first on thumbsup.

20+4 เพจสำหรับนักการตลาด New Gen

$
0
0

ในยุคปัจจุบัน โลกธุรกิจหมุนเร็วขึ้นสองเท่า นักการตลาดรุ่นใหม่ต้องคอยติดตามและอัพเดทข่าวสารกันไม่ห่าง เรามีเพจดีๆ มาแนะนำกันถึง 24 เพจ โดย 20 เพจนั้นเป็น Publisher คุณภาพที่คอยนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจผ่าน infographic และคอนเทนต์รูปแบบต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจ การตลาด รวมถึงเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นประเด็นไปคิดต่อได้

ส่วนอีก 4 เพจที่เราแนะนำเพิ่มเติม เป็นเพจจากกูรูด้านการตลาดที่หาตัวจับยาก เราจะเจอแต่ท่านได้ตามงานสัมมนาธุรกิจต่างๆ แต่หากตามไปไม่ได้ครบทุกงาน แนะนำให้เกาะติดเพจเอาไว้ กด See First ไว้เลยก็ยิ่งดี

Ad Addict – https://www.facebook.com/AdAddictTH

AHEAD ASIA – https://www.facebook.com/theaheadasia

Brand Age – https://www.facebook.com/brandageonline

Brand Buffet – https://www.facebook.com/brandbuffet

Brand Think – https://www.facebook.com/brandthink.me

Brandinside – https://www.facebook.com/BrandInsideAsia

CEO Blog – https://www.facebook.com/ceoblog

Content Marketing Story – https://www.facebook.com/ContentMarketingStory

Marketeer – https://www.facebook.com/marketeeronline

Marketing Oops! – https://www.facebook.com/MarketingOopsdotcom

Market Think – https://www.facebook.com/marketthink.co

Positioning – https://www.facebook.com/positioningmag

SM Magazine – https://www.facebook.com/SMmagonline/

Thumbsup in Thailand – https://www.facebook.com/thumbsupth

การตลาดวันละตอน – https://www.facebook.com/EverydayMarketing.co

ชี้ช่องรวย – https://www.facebook.com/smechannel

เซียนธุรกิจ – https://www.facebook.com/เซียนธุรกิจ-737974486243537

ลงทุนเกิร์ล – https://www.facebook.com/investgirl

ลงทุนแมน – https://www.facebook.com/longtunman

มนุษย์กลยุทธ์ – https://www.facebook.com/Strategyrefill

Mission To The Moon – https://www.facebook.com/marketingeverythingbook

สโรจขบคิดการตลาด – https://www.facebook.com/SarojKhobKid

อ.ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย – https://www.facebook.com/thunyawatt

อัจฉริยะการตลาด – https://www.facebook.com/marketing1081009

The post 20+4 เพจสำหรับนักการตลาด New Gen appeared first on Thumbsup.

คิดใหญ่ทำสำเร็จ แนวคิดที่น่าสนใจของนักธุรกิจสุดครีเอทอันดับ 1 ประจำปี 2019

$
0
0

Tamer Hassan เป็นแชมป์ในทำเนียบผู้บริหารบริษัทหญิงชายจำนวน 100 คนที่สำนักข่าว Fast Company ยกให้เป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในธุรกิจประจำปี 2019 ความโดดเด่นของ Hassan เหนือกว่าผู้บริหารบริษัทอื่นเช่น Apple, Levi Strauss & Co., Google, Microsoft, Lego, Nike, Starbucks, CVS Health และ Twitch เพราะผลงานการสวมบทนักสืบจนทำให้ FBI เข้ากวาดล้างขบวนการโกงคลิกโฆษณาดิจิทัลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ย้อนไปเมื่อกุมภาพันธ์ปี 2017 หนุ่มเครางามอย่าง Tamer Hassan ยังทำงานตามปกติ ทั้งการตรวจสอบระบบซื้อและขายโฆษณาซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัย แต่ในที่สุด Hassan ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ และพบว่าความแปลกนี้ไม่ได้เกิดจากภัยบ็อตเน็ตธรรมดา แต่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

วันนั้น Hassan เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและ CTO ของบริษัท White Ops ซึ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับและป้องกันการคลิกลวงบนโฆษณาออนไลน์ สิ่งที่ Hassan ทำคือการติดตามบ็อตเน็ตแล้วสวมบทนักสืบจน FBI ติดตามจับผู้ร้ายที่ล่อลวงเงินหลายล้านเหรียญจากแบรนด์ใหญ่ เป็นการเจาะเซกเมนต์ที่ตอบโจทย์เหลือเกินในยุคที่ทุกอย่างตั้งแต่เครื่องล้างจาน รองเท้า ไปจนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ต้องการโฆษณาดิจิทัลที่มีความโปร่งใสสมบูรณ์แบบ

ตลาดคึกคัก เงินหมุนสะพัด

บ็อตเน็ต (botnet ย่อมาจากคำว่า robot และ network) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์พีซีที่ติดไวรัสจนถูกอาชญากรไซเบอร์เข้าควบคุมเครื่องโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว คอมพิวเตอร์เหล่านี้จะเปลี่ยนตัวเองเป็นกองทัพแพร่เชื้อให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นถูกควบคุมต่อไปเป็นทอดแบบไม่รู้จบ สิ่งที่เกิดขึ้นคือบ็อตเน็ตถูกนำมาใช้ในวงการโฆษณา โดยที่บ็อตเน็ตจะสร้างเว็บไซต์ปลอมและใช้ซอฟต์แวร์อัตโนมัติเพื่อเลียนแบบมนุษย์ มีการสร้างระบบจำลองการรับส่งข้อมูลจริง เพื่อดูดเงินจากบริษัทรายใหญ่ เช่น P&G, Unilever และนักการตลาดรายใหญ่ที่ลงทุนมูลค่ามากกว่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อโฆษณาออนไลน์แบบ programmatic ตามพฤติกรรมของชาวออนไลน์

ที่ผ่านมา มีบันทึกว่าแบรนด์ต่างๆถูกโกงคลิกมูลค่า 6,500-19,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี สะท้อนว่าอาชญากรก่อภัยบนความเสี่ยงต่ำมากแต่ได้รับผลตอบแทนสูง ความจริงนี้ทำให้ภัยโกงคลิกโฆษณาขยายวงกว้าง

แม้ Hassan จะคิดว่าภัยบ็อคเน็ตที่พบนั้นดูธรรมดาในช่วงแรก แต่เมื่อ Hassan และทีมพยายามปิดกั้นเว็บไซต์หลอกลวงจากการดึงดูดโฆษณา programmatic หรือพยายามจำกัดที่อยู่ IP ที่ดูเหมือนเป็นแหล่งสร้างการคลิกปลอมบนเว็บไซต์ ทีมของ Hassan ก็เห็นกิจกรรมเดียวกันปรากฏขึ้นที่อื่นโดยไม่มีรูปแบบ คาดการณ์ไม่ได้ แถมยังดูเหมือนทุกอย่างจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพความเลวร้ายลงไปอีก

เพื่อตอบความต้องการในตลาด Hassan จึงสร้าง “แพลตฟอร์มสำหรับอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตหลายประเภท” ได้แก่ การขโมยข้อมูลส่วนตัว ภัยเรียกค่าไถ่ข้อมูลหรือแรนซัมแวร์ สปายแวร์ ไวรัสคอมพิวเตอร์ และอื่น โดยรวมประเภทของภัยคุกคามที่ทำให้ข้อมูลจำนวนมหาศาลรั่วไหลไปในกรณีของ Equifax, Marriott และ Yahoo ที่เป็นข่าวดังในช่วงก่อนหน้านี้

แพลตฟอร์มนี้เองที่เป็นจุดเด่นให้ Hassan ได้รับความสนใจ เพราะรายงานปี 2018 ของ McAfee และศูนย์การศึกษาเชิงกลยุทธ์ระหว่างประเทศ Center for Strategic and International Studies คาดการณ์ว่าอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี จุดนี้ Hassan เล่าว่าทุกอย่างต่อยอดจากการเรียนรู้การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเองหลังจากได้รับคอมพิวเตอร์ชื่อ Tandy เมื่ออายุ 8 ขวบ

ประสบการณ์ทหารบ่มเพาะได้

ในขณะที่กำลังศึกษาคณะวิศวกรรมที่โรงเรียนกองทัพอากาศในโคโลราโด การโจมตีของผู้ก่อการร้าย 9/11 เกิดขึ้นจนเป็นแรงบันดาลใจให้ Hassan รู้ว่าต้องใช้ความรู้ทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้อื่น Hassan เล่าว่าใช้เวลาหลายปีในการเป็นนักบินค้นหาและกู้ภัยด้วยเฮลิคอปเตอร์ Pave Hawk เพื่อช่วยชีวิตทหารและพลเรือน จากศึกอิรักและอัฟกานิสถาน ประสบการณ์นี้สอนให้ Hassan กำหนดวิธีรับมือกับการท้าทายทุกอย่างที่เกิดขึ้น

Hassan บอกว่าจากการทำภารกิจกู้ภัยในดินแดนเหล่านี้ เขาพบว่า “เป้าหมาย” เป็นสิ่งเดียวที่แน่นอน นอกนั้นเป็นปัจจัยอื่นที่เต็มไปด้วยตัวแปร โอกาส และการแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นในสายตาของ Hassan การตั้งเป้าหมายจึงสำคัญมาก

หลังจาก 12 ปีในกองทัพอากาศ Air Force ในที่สุด Hassan ตัดสินใจรวมความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมเข้ากับประสบการณ์ทางทหาร แล้วเปิดตัว White Ops ในปี 2012 กับผู้ร่วมก่อตั้ง 2 คน จนวันนี้ บริษัทเติบโตขึ้นมามากกว่า 100 คนโดยมีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กและอีกหลายแห่งทั่วโลกและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้านดอลลาร์

ไอเดียของ Hassan คือการสร้างเทคโนโลยีที่ทำงานเหมือนสัญญาณกันขโมยสำหรับลูกค้าเช่น The Trade Desk บริษัทเอเจนซี่ที่ช่วยนักการตลาดจัดการและให้บริการโฆษณาดิจิทัลแบบ programmatic โดย White Ops จะแจ้งเตือนลูกค้าหากพบความพยายามฉ้อโกงใหม่ และจะป้องกันไม่ให้อาชญากรแกล้งปั่นยอดคลิกได้อีก

หลักการของบริษัทคือระบบรักษาความปลอดภัยควรเป็นมากกว่าเพียงแค่การสร้างกำแพงเพื่อปกป้องลูกค้า แต่ควรเป็นระบบที่ขวางทางอาชญากร และให้บทเรียนอาชญากรไม่ให้สามารถก่อการได้อีก ผลคือระบบของ White Ops จะไม่เพียงพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้จริงด้วย captcha แต่จะพัฒนาเครื่องมือที่ตรวจสอบบ็อตได้หลายพันวิธี เช่นความแตกต่างของเวลาที่เรียกใช้ชุดคำสั่ง ซึ่งสามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นมนุษย์ตัวจริงหรือระบบบ็อตเน็ต

เทคโนโลยีของ White Ops จึงถูกขนานนามว่า “3ve” (ออกเสียงว่าอีฟ) บนคุณสมบัติหลัก 3 ประการคือความเร็ว speed, การขยายส่วนได้ scale และความซับซ้อน sophistication ซึ่งหลังจากที่ 3ve บันทึกพฤติกรรมบ็อตเน็ตมานาน 18 เดือน เช้าตรู่ของวันที่ 22 ตุลาคม 2018 หนุ่มใหญ่ Hassan จึงได้ทราบว่า 3ve ช่วยให้ FBI สร้างคดีขึ้นมาจนนำไปสู่การจับกุมครั้งแรก

จับปรับได้จริง

ปลายปี 2018 เจ้าหน้าที่ FBI สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้กระทำผิด 3 ใน 8 คนซึ่งอยู่ในมาเลเซีย บัลแกเรีย และเอสโตเนีย ผ่านคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงด้วยการบุกรุกคอมพิวเตอร์ การขโมยข้อมูลส่วนตัวต่อเนื่อง และการฟอกเงิน อีก 5 คนยังเกี่ยวพันกับคดีความที่ใหญ่กว่า

Hassan ซึ่งขึ้นเป็น CEO ของบริษัทแล้วในวันนี้ ย้ำอีกครั้งถึงปรัชญาของ White Ops ว่าบางครั้งเราก็ไม่สามารถเล่นเกมแบบป้องกันได้ตลอด เพราะต้องเล่นเกมบุกบ้าง “นี่จะทำให้การต่อสู้ชนะได้จริง”

วงการโฆษณาออนไลน์ จึงสดุดีคุณ Hassan ในฐานะ No. 1 Most Creative Person in Business หรือบุคคลสุดสร้างสรรค์ภาคธุรกิจแห่งปี 2019.

ที่มา: : Fast Company

The post คิดใหญ่ทำสำเร็จ แนวคิดที่น่าสนใจของนักธุรกิจสุดครีเอทอันดับ 1 ประจำปี 2019 appeared first on Thumbsup.

4 กลยุทธ์ทางการตลาด ที่นักการเมืองนิยมใช้ในช่วงหาเสียง

$
0
0

นับตั้งแต่วันที่วันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการถูกเคาะออกมาเป็นวันที่ 24 มีนาคม 2562 สนามการเมืองก็เริ่มคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายพรรคการเมืองเริ่มปลดล็อกตัวเอง เดินเกมสู่สนามเลือกตั้งอย่างเต็มที่ แม้จะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย แต่ในที่สุดก็เดินทางมาถึงวันโหวตยกมือเลือกให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า “การตลาดทางการเมือง” (Political Marketing) ก็ยังมีการนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง

การตลาดทางการเมือง คืออะไร?

การตลาดทางการเมือง หรือ Political Marketing คือ การที่องค์กรทางการเมือง (พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ องค์การการปกครองท้องถิ่น) ได้นำเอาแนวคิดและเทคนิคทางการตลาดขององค์กรธุรกิจ เข้ามาประยุกต์ใช้ในการค้นหาความต้องการของประชาชน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมองค์กรเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน รวมทั้งการสื่อสารเพื่อนำ เสนอ ผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง

ดังนั้น คำว่า การตลาดเพื่อการเมืองจึงถูกกำหนดขึ้นมาให้มีความหมายว่า เป็นระบบการแลกเปลี่ยนโดยผู้ขายเสนอความเป็นตัวแทนแก่ผู้ซื้อ เพื่อให้ได้รับเสียงสนับสนุนเป็นการตอบแทน โดยนักการเมือง และนโยบายเปรียบเหมือนสินค้า ที่มีพรรคการเมืองเป็นตราสินค้า และผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้บริโภค

(ข้อมูลจาก งานวิจัยของปฐมาพร เนตินันทน์)

4 กลยุทธ์ทางการตลาดที่นักการเมืองนำมาใช้

ดร.เอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn Business School) เคยกล่าวในรายการ Biz Genius ของวิทยุจุฬา ในหัวข้อ “กลยุทธ์การตลาดที่นักการเมืองมักใช้ในการเมือง” ได้อย่างน่าสนใจ

เพราะการหาเสียงเลือกตั้งผ่านออนไลน์ในครั้งนี้ สามารถถอดบทเรียนเรื่องของการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing), กลยุทธ์ทางการตลาด (Strategic Marketing)  และการสร้างแบรนด์ในระดับบุคคล (Personal Branding) ได้หลายแง่มุม ซึ่งมีข้อมูลและความเห็น thumbsup ประกอบด้วยเพื่อยืนยันในบางส่วน

โดย ดร.เอกก์ เล่าต่อว่า 4S ที่เหล่าบรรดานักการเมืองใช้ คือ Sensation, Story, Speed และ Social Media รายละเอียดมีดังนี้

1. Sensation

โดย ดร.เอกก์ ระบุว่า คนเราใช้อารมณ์ตัดสินใจเยอะมาก และพิจารณาภาพลักษณ์ภายนอก เมื่อคุณสมบัติของผู้นำทางการเมืองมีความใกล้เคียงกัน ทำให้ “รูปลักษณ์ภายนอก” ส่งผลต่อการเลือกนักการเมือง

จะเห็นว่ามีดารา นักแสดง นักร้อง หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง ต่างทยอยเดินเข้าออกทางการเมืองอยู่เสมอ แม้จะมีเหตุผลอื่นๆ ที่เข้ามาทำงานตรงนี้

ซึ่งสัมผัสทั้งห้าอย่าง “รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส” จึงถูกนำมาใช้ในการเมืองตลอด ยิ่งการหาเสียงแบบพบปะผู้คน การได้สัมผัสตัว (เช่น จับมือ กอด หรือแม้แต่หอมแก้ม) ได้ให้สิ่งของ (ให้ดอกไม้หรือคล้องมาลัย) ได้ถ่ายรูป ได้เซลฟี่กับนักการเมือง มีผลมากๆ โดยเฉพาะในเมืองไทย

ความสำเร็จจากต่างประเทศที่เห็นได้ชัดสุด คงหนีไม่พ้นการเมืองประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2551 ที่ Barack Obama ชนะการเลือกตั้งจากการใช้ Social Media ในการนำเสนอตัวบุคคลที่เป็นนักการเมืองผิวสี (ตามกระแสความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้น) และแคมเปญ “Change” ที่เล่นกับความรู้สึก “ขี้เบื่อ” ของคนได้ ทำให้ชนะการเลือกตั้งในเวลานั้นไปในที่สุด

2. Story

สังเกตว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ มีนักการเมืองหน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่จะว่าพรรคการเมืองจะทำอย่างไรให้ผู้คนจดจำนักการเมืองคนนี้ได้?

คำตอบก็คือนักการเมืองคนนั้น ก็ต้องมาพร้อมกับการเล่าเรื่อง (Storytelling) ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เคยทำอะไรมาบ้าง ถ้าบอกแค่ว่าคนนี้ดี ซื่อสัตย์จริงใจ มันไม่พอ เพราะ คุณค่า (Value) ที่เกิดขึ้นจะมีไม่มากนัก

แต่ถ้าใช้วิธีเล่าเรื่องว่าความดี ความเก่ง หรือความเจ๋ง มีที่มาที่ไปอย่างไร ก็จะทำให้นักการเมืองคนนั้นมีคุณค่า (Value) เพิ่มขึ้นทันที

แต่ต้องระวังหนึ่งอย่างคือ เรื่องราว (Story) นั้นต้องมีอยู่จริง ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยจาก McCann Worldgroup ที่ระบุในข้อแรกเลยว่า

ความจริงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด (Truth is the most valued currency) ผู้บริโภคตั้งคำถาม โดยเริ่มไม่เชื่อใจสิ่งรอบตัว แม้แต่เรื่องสื่อ การเมือง สื่อสังคมออนไลน์ และสถาบันระดับโลก แต่ผู้บริโภคเชื่อใจในแบรนด์ว่าจะเข้าใจผู้บริโภคได้จริงๆ

ซึ่งพรรคการเมืองก็ถือเป็นแบรนด์หนึ่งที่ประชาชนเลือกนั่นเอง จะเห็นว่าพรรคการเมืองใหม่ๆ ก็ดูได้เปรียบในเรื่องนี้ แต่พรรคการเมืองเดิมๆ ก็มีความได้เปรียบตรงที่สามารถสื่อสารการปรับเปลี่ยนในพรรคให้ฐานแฟนคลับได้ด้วยเช่นกัน

3. Speed

เกิดเรื่องอะไรที่เป็นกระแส นักการเมืองจะมุ่งไปที่เรื่องนั้น เล่นกับกระแสที่เกิดขึ้นทันที หรือกระแสที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เช่น กระแสความหลายทางเพศ, เพศทางเลือกอย่าง LGBTQ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender และ Queer) หรือแม้แต่กระแสการทำให้กัญชาเป็นสารเสพติดที่ถูกกฎหมาย ก็มีผลต่อการตัดสินใจเช่นกัน

เห็นได้จากงานวิจัยของพิรุณธร เบญจพรรังสิกุล บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ในชื่อ “ปัจจัยทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเลือกพรรคการเมืองไทยของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ในเขตกรุงเทพมหานคร” เมื่อปี 2554 ระบุว่า

ผลการวิจัยกลุ่มตัวอย่าง 385 คนที่อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมติดตามข่าวสารของพรรคการเมืองที่ตัวเองชื่นชอบอยู่ และพบว่าข่าวที่ไม่ไม่ดีของพรรคการเมืองมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในการเลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

ฉะนั้นการไวต่อกระแส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบวกหรือลบ ล้วนมีผลกระทบในทางการเมืองทั้งสิ้น ทำให้พรรคการเมืองต้องให้ความสำคัญเรื่องของกระแสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

4. Social Media

Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter หรือ LINE ฯลฯ ในยุคนี้ มีเครื่องมือหรือฟีเจอร์ที่ใช้ในการโฆษณาที่เรียกว่า “Retargeting” มันจะบอกได้ทันทีว่า ใครคือกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นป้อนข้อความ (Message) ไปยังกลุ่มคนแต่ละกลุ่มที่ความต้องการแตกต่างกันออก ได้แบบซ้ำๆ บ่อยๆ และจะเจอในทุกๆ ที่

นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเรารู้สึกว่าทำไมนักการเมืองคนนี้ช่างพูดตรงใจเรา เพราะคำพูดจากนักการเมือง ถูกแสดงมาให้เห็นบ่อยๆ นั่นเอง

รวมถึงกระแสที่เกิดขึ้นเองบน Social Media โดยเฉพาะ Twitter มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่แบบเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับ 4-5 ปีก่อนหน้านี้

“สติ” คือเรื่องสำคัญ ประชาชนต้องรู้เท่าทัน

ดร.เจกก์ ระบุว่าประชาชนต้องมี ‘สติ’ เพราะนักการเมืองเล่นกับอารมณ์ มีเรื่องราว ตามกระแสรวดเร็ว ใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสาร เราจะหลงสนุกไปด้วย จนลืมคิดว่าเลือกหรือไว้วางใจใครสักคน

“เพราะนักการตลาดมีเครื่องมือเยอะมากที่ทำให้คนหลง โดยที่ของข้างในไม่ได้ดีจริง การซื้อของผิด มีปัญหาแค่เรา แต่การเลือกคนผิด เกิดปัญหาที่ประเทศของเรา อย่าหลงกับข้อมูลฉาบฉวย ต้องใช้เวลาไตร่ตรองให้ดี” ดร.เจกก์ กล่าว

ส่วนโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย เคยกล่าวไว้ในคอลัมน์ ‘โชคช่วยด้วยการตลาด’ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ เมื่อนานมาแล้ว ว่าการตลาดและการเมืองจะไปด้วยกันได้ดีถ้านักการเมืองจะเป็นคนที่ดี มีความจริงใจ มีจริยธรรมและนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน

โดยนำยุทธวิธีทางการตลาดมาใช้ในการให้ข้อมูลข่าวสาร เผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ที่ดีให้กับประชาชน เพื่อประชาชนจะได้รับประโยชน์จากนโยบายและโครงการต่างๆ อย่างแท้จริง

“มีไหมครับนักการเมืองและการตลาดแบบนี้ ถ้ามีแบบนี้เยอะๆ ผมเชื่อว่า เมืองไทยของเราก็ยังพอมีหวังครับ” โชค บูลกุล กล่าวปิดท้ายในคอลัมน์

The post 4 กลยุทธ์ทางการตลาด ที่นักการเมืองนิยมใช้ในช่วงหาเสียง appeared first on Thumbsup.

Instagram เปิดทาง! นำ Post หรือ Stories ของ Influencer ขึ้นเป็นโฆษณาได้

$
0
0

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ที่ให้ผู้ลงโฆษณา (Advertisers) ทุกคนสามารถลงโฆษณาในแบบ Branded Content Ads ได้อย่างเป็นทางการ ถือเป็นความพยายามล่าสุดที่เปิดทางให้แบรนด์ต่างๆ สามารถลงทุนกับคอนเทนต์ที่มาจาก Influencer ได้มากขึ้น

ข้อดีของการโฆษณาแบบนี้ส่งผลดีต่อทั้ง Influencer ที่จะได้ Reach และ Engagement ต่อ มากขึ้น และโฆษณาของแบรนด์จะเข้าถึงผู้ติดตาม (Follower) ของ Influencer ได้มากยิ่งขึ้นด้วย

ฟีเจอร์ดังกล่าวจะเปิดให้ผู้ลงโฆษณาบน Instagram ผ่าน Facebook Ads Manager ใช้กับโพสต์ได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากนี้ และใช้ได้กับ Stories ได้ในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้านี้

Branded Content Ads on Instagram Stories

ก่อนหน้านี้ ในเดือนมิถุนายน 2560 Instagram ได้เปิดตัว Branded Content tool สำหรับเหล่าคนดัง (Celebrities) และ Sponsor ในกลุ่มแคบๆ

ต่อมาพฤศจิกายน 2560 เปิดให้เหล่าผู้สร้างเนื้อหา (Creators) สามารถใช้ Branded Content ได้มากขึ้น และบังคับให้ Branded Content ที่ลงโฆษณาต้องแสดงคำว่า “Paid Partnership with” แล้วด้วยชื่อแบรนด์ที่ลงโฆษณาด้วย

และในเดือนมีนาคม 2562 มีข่าวออกมาว่า Instagram ทดสอบฟีเจอร์ Branded Content Ads ให้แก่บุคคลทั่วไป แต่ยังจำกัดจำนวนรูปแบบโฆษณาและผู้ที่ได้รับการทดสอบ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมกันได้ที่ Instagram, Instgram Help และ Instagram Business Blog

Red Ocean แห่งใหม่ที่ต้องขยายพื้นที่โฆษณาแบบเลี่ยงไม่ได้

หลายคนคงทราบกันดีว่า Facebook กลายเป็น Red Ocean หรือสมรภูมิที่มีการแข่งขันสูงไปเป้นที่เรียบร้อย เพราะการลงโฆษณาใน Facebook ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อให้โฆษณาเข้าถึงคน

Instagram จึงกลายเป็นความหวังใหม่ของแบรนด์ เอเจนซี่ และ Advertiser แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ (แม้จะเริ่มเป็น Red Ocean มากขึ้นทุกทีก็ตาม) ทำให้ Facebook ต้องขยายพื้นที่และรูปแบบโฆษณาบน Instagram ให้หลากหลายและมีมากขึ้น

เห็นได้จากข้อมูลของ Facebook ที่จ้าง Ipsos สำรวจก็ได้ผลออกมาว่า 68 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ Instagram ทุกวันระบุว่า พวกเขาใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าผู้สร้างเนื้อหา

ข้อมูลจาก Socialbakers ก็เผยว่า บรรดา Micro Influencer (มี Followers ต่ำกว่า 10,000 คน) โพสต์เนื้อหาบน Instagram มากกว่าโฆษณาที่เป็น Sponsored Content มานานร่วมปีแล้ว

ส่วน Influencer Marketing survey ก็ระบุว่า นักการตลาด 89 เปอร์เซ็นต์ชี้ว่าการใช้ Influencer Marketing มี Return Of Investment หรือ ROI (อัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุน ที่เปรียบเทียบระหว่าง เงินลงทุน กับ กำไรที่ได้จากการลงทุน) ที่ดีกว่าการใช้ช่องทางการตลาด (Marketing Channel) อื่นๆ

แถม Mediakix คาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาที่ใช้ในตลาด Influencer จะเพิ่มขึ้นไปถึง 5,000-10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2020

สะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่เติบโตขึ้นของ Influencer ทำให้ Instagram ต้องปรับตัวเพื่อรับ Influencer เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการลงโฆษณาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

ที่มา : Instagram (1) (2), MarketingLand และ SocialMediaToday

The post Instagram เปิดทาง! นำ Post หรือ Stories ของ Influencer ขึ้นเป็นโฆษณาได้ appeared first on Thumbsup.

Viewing all 1958 articles
Browse latest View live